‘เพอร์มาตา’ ขาที่สอง ‘แบงก์กรุงเทพ’ ไม่ใช่แค่ ‘ซื้อ’ แต่เป็นหมากสำคัญสู่ ‘แชมเปียน’ อาเซียน

“เพอร์มาตา” หรือ Permata Bank ไม่ได้เป็นเพียง ธนาคารที่ถูกซื้อกิจการ ผ่านการเข้าไปถือหุ้นใหญ่ แต่ในมุมของ “ธนาคารกรุงเทพ” มองว่า Permata Bank กลายเป็น “ขาที่สอง” สำหรับธนาคารกรุงเทพที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคง บนก้าวย่างของการเป็น “Regional Champion” ในยุคที่อาเซียนกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในเศรษฐกิจโลก

“กอบศักดิ์ ภูตระกูล” กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และ “ไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์” รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ได้พาสื่อมวลชนเดินทางไป “ประเทศอินโดนีเซีย” เพื่อให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังในการเป็นมาของ “เพอร์มาตาแบงก์” 

จุดเริ่มต้นการซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตา

“กอบศักดิ์” ฉายภาพตั้งแต่เริ่มต้นสู่การได้มาของ “เพอร์มาตาแบงก์” ว่า ธนาคารกรุงเทพมีความสนใจในเพอร์มาตา และอินโดนีเซียมานานแล้ว เนื่องจากมองว่าในอนาคต “อินโดนีเซีย” จะกลายเป็นภูมิภาคที่ “โดดเด่น” อย่างมาก เศรษฐกิจอาเซียนจะเติบโตขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนภายใน 5 ปีข้างหน้า จนก้าวขึ้นเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ดังนั้น อินโดนีเซียจึงถูกมองว่าเป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในภูมิภาคนี้

การตัดสินใจเข้า “ซื้อกิจการ” เพอร์มาตาของธนาคารกรุงเทพไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เป็นผลมาจากการดำเนินการศึกษา และวางแผนมาอย่างยาวนาน มีธนาคารหลายแห่งสนใจเข้าลงทุนในอินโดนีเซีย และสนใจในการซื้อกิจการ “เพอร์มาตา” แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ

ทำไมแบงก์กรุงเทพถึงซื้อเพอร์มาตาได้?

ด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นเฟ้นของ “เจ้าสัว” ระดับต้นๆ ในประเทศที่หลายคน เป็นลูกค้าธนาคารกรุงเทพมาตั้งแต่สมัย “นายห้างชิน” หรือที่เรารู้จักกันคือ “ชิน โสภณพนิช” เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ และนายห้างชาตรี (นายชาตรี โสภณพนิช) ความสัมพันธ์นี้ยังคงดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันภายใต้การบริหารของ “โทนี่” หรือ “ชาติศิริ โสภณพนิช” ในปัจจุบันด้วยความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งนี้ทำให้สินเชื่อของธนาคารกรุงเทพยังคงเติบโตได้ดีในอินโดนีเซีย จนกลายมาเป็นแบงก์ที่ผูกพันกับอินโดนีเซียอย่างยาวนานกว่า 57 ปี ที่มีการให้บริการผ่าน 3 สาขา คือ เมดาน สุราบายา และจาการ์ตา

ด้วยความที่ “เพอร์มาตา” เป็นธนาคารอันดับที่ 12 ของอินโดนีเซีย มีทีมผู้บริการที่ conservative ซึ่งคล้ายกับธนาคารกรุงเทพ ที่เน้นความมั่นคง และรอบคอบ ความคิดใกล้เคียงกันที่ไม่เน้นการเติบโตที่เสี่ยงเกินควร จึงทำให้การควบรวม และทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างราบรื่น

“กอบศักดิ์” เล่าถึง ก่อนเข้าซื้อกิจการ ธนาคารกรุงเทพได้มีการทำ due diligence อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะด้านทีมบริหาร ซึ่งกลายเป็นจุดแข็งของเพอร์มาตา เรานำบุคลากรของแบงก์กรุงเทพฯ จากอินโดนีเซีย เช่น ผู้จัดการและรองผู้จัดการสาขาเข้าไปเสริมทัพ และถ่ายทอดความรู้ รวมถึงนำลูกค้าของแบงก์กรุงเทพฯ ที่แข็งแกร่ง เข้าไปใช้บริการที่เพอร์มาตาจนทำให้ธนาคารเติบโตอย่างรวดเร็ว จากธนาคารอันดับ 12 ของอินโดฯ กลายเป็นอันดับ 8 (หรืออันดับ 5 หากไม่นับแบงก์รัฐ) จวบจนวันนี้

ปัจจุบัน “เพอร์มาตา” มีสัดส่วนครึ่งหนึ่งในธุรกิจ International Banking ของแบงก์กรุงเทพ คิดเป็นสัดส่วน 12-13% และแนวโน้มยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเพอร์มาตาเติบโตถึง 9% ขณะที่ ประเทศไทยโตได้เล็กน้อยเท่านั้น รายได้กำไรของเพอร์มาตาปีก่อนอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท และเชื่อว่าอนาคตจะเห็นรายได้ และกำไรกลายเป็น “หมื่นล้าน” แน่นอน

เราไม่ได้เพียงแค่ถือหุ้นเพอร์มาตา แต่เราเข้าไปบริการเอง ปรับโครงสร้างให้เหมือนธนาคารกรุงเทพ ทั้งโครงสร้างการปล่อยสินเชื่อที่เน้นลูกค้ารายใหญ่ คุณภาพสินทรัพย์ อัตราส่วนของทุนที่แข็งแกร่งจนปัจจุบันทุนต่อสินทรัพย์ (CAR) ของเพอร์มาตาสูงมากที่ระดับ 34%

“เพอร์มาตา” จุดเริ่มต้นปูทางแบงก์สู่ Regional Champion

ก้าวต่อไปของ “เพอร์มาตา” หมายความว่า ธนาคารกรุงเทพในอนาคตจะมี “สองขา” ไม่ใช่ขาเดียวเฉพาะในไทยอย่างเดียวแล้ว ในวันที่ประเทศไทยโตไม่ออก หรือโตไม่ได้ เราก็ไม่ตื่นเต้นเพราะเราสามารถทำธุรกิจที่ประเทศหนึ่งแล้วโตได้ดี นี่คือก้าวสำคัญของธนาคาร และเพอร์มาตาไม่เพียงแต่เป็น Regional Bank แต่อนาคตธนาคารกำลังย่างไปอีกก้าวสู่การเป็น “Regional Champion”

 สุดท้ายแล้ว เขาเชื่อว่า “เพอร์มาตา” จะถือเป็นแบงก์ท้ายๆ แล้วที่สามารถซื้อได้ในราคาที่ดี ราคาที่เหมาะสม เพราะการซื้อแบงก์หลังจากนี้แพงมาก และยอมรับว่า การที่ธนาคารกรุงเทพซื้อเพอร์มาตาถือว่า “ไม่ถูก” แต่ “คุ้มค่า” ที่สุด  

“ไชยฤทธิ์” ฉายภาพให้เห็นถึง ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่าง “ธนาคารกรุงเทพ” ที่มีความผูกพันกับอินโดนีเซียมานานกว่า 57 ปี การซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตา ในปี 2020 จึงไม่ใช่จุดเริ่มต้นใหม่ แต่เป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ที่มีรากฐานมั่นคงอยู่แล้ว

หากเล่าย้อนไปถึงเพอร์มาตาเคยอยู่ในช่วงเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นถึง 2 ครั้ง ก่อนที่ธนาคารกรุงเทพฯ จะเข้าซื้อกิจการ โดยมีทั้งปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ มีการตัดหนี้เสียออกครั้งใหญ่ และเมื่อธนาคารกรุงเทพเข้าซื้อกิจการจึงเป็น “โอกาสและจังหวะ” ที่เหมาะสมมาก เพราะเพอร์มาตาอยู่ในภาวะที่ “สะอาดหรือคลีน” แล้วระบบภายในมีความเรียบร้อย เป็นฐานที่ดีต่อการต่อยอดและสร้าง synergies ได้ง่าย

สิ่งที่ธนาคารกรุงเทพฯ ให้ความสำคัญอย่างมากก่อนตัดสินใจลงทุน คือ “การประเมินทีมผู้บริหารของเพอร์มาตาว่าสามารถทำงานร่วมกับธนาคารกรุงเทพได้หรือไม่ เพราะหากแนวทางการบริหารที่ดุดันหรือเสี่ยงสูง อาจทำให้การควบรวมไม่ราบรื่น

แต่กลับกัน ทีมผู้บริหารเพอร์มาตามีความ “อนุรักษนิยม” คล้ายกับแนวทางของธนาคารกรุงเทพฯ ทำให้การผสานองค์กรสามารถทำได้เร็วและมั่นคง นั่นทำเป็น “หนึ่งในองค์ประกอบที่ดีที่สุดของดีลนี้”

จุดแข็งของธนาคารกรุงเทพคือ มีเครือข่ายในต่างประเทศกว่า 14 แห่งทั่วโลก ทำให้สามารถช่วยสนับสนุนลูกค้าเพอร์มาตาที่ต้องการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศได้ โดยเฉพาะในอาเซียน และเอเชีย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของธุรกิจอินโดนีเซียที่เริ่มมีความต้องการ “regionalize” หรือออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น

แม้เพอร์มาตาจะเป็นธนาคารอันดับ 8 แต่ในแง่ของ Digital Banking และ Mobile Application กลับเป็นหนึ่งในธนาคารที่ล้ำหน้าที่สุดในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะ “PermataX” ซึ่งปัจจุบันรีแบรนด์เป็น “PermataMe” ถือเป็นแอปที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งธนาคารกรุงเทพเองก็สามารถนำบทเรียน และแนวคิดเหล่านี้กลับมาประยุกต์ใช้กับฝั่งไทยได้เช่นกัน

สุดท้ายแล้ว ผู้บริหารเชื่อว่า การซื้อกิจการเพอร์มาตา ไม่ได้เป็นเพียงการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ แต่เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวที่ช่วยให้ “ธนาคารกรุงเทพ” เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในการเป็นก้าวสู่ผู้นำทั้งในระดับอาเซียน และระดับภูมิภาคในอนาคต

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์