‘กฤษณ์’ ชี้เครื่องยนต์ ศก.ไทยแผ่ว เร่งสู่สนามใหม่ ด้วย ‘นวัตกรรม’

‘กฤษณ์’ ชี้เครื่องยนต์ ศก.ไทยแผ่ว เร่งสู่สนามใหม่ ด้วย ‘นวัตกรรม’

“กฤษณ์”ชี้ หลายครั้ง ‘โชคช่วย ’ประเทศให้ผ่านวิกฤติ แต่วันนี้ไม่ใช่ยุคของการรอจังหวะ ต้องหาเครื่องยนต์ใหม่ ถึงเวลาที่ต้องเร่งเครื่องประเทศไทยด้วย “นวัตกรรม”

หลายครั้ง “โชคช่วย” ประเทศไทยให้ผ่านวิกฤติ !!
 

นี่คือ คำกล่าวของ “กฤษณ์ จันทโนทก”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ 

ในงานสัมมนาของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายใต้งานสัมมนา “กระตุก GDP ไทย” ด้วยกองทุน ววน.

‘กฤษณ์’ ชี้เครื่องยนต์ ศก.ไทยแผ่ว เร่งสู่สนามใหม่ ด้วย ‘นวัตกรรม’

โดยเขามองว่า...วันนี้ไม่ใช่ยุคของการรอจังหวะ แต่ต้องหา “เครื่องยนต์ใหม่” ให้กับ “เศรษฐกิจไทย” และต้องเร่งเครื่องประเทศไทย ด้วย “นวัตกรรม” ซึ่งจะทำให้ระบบเกิดการเชื่อมโยงกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน... 

“สิ่งที่เราขาด ไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่แรงบันดาลใจ แต่เป็นระบบที่เชื่อมต่อ เพื่อทำให้ผลลัพธ์เกิดขึ้นได้จริง” 

กฤษณ์” เริ่มต้นงานสัมมนาด้วย “การตั้งคำถาม” ว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยรอดมาจากวิกฤติหลายๆ ครั้งได้อย่างไร ที่ประเทศไทยรอดเพราะมี “ระบบที่เข้มแข็ง” หรือเพราะเรา “โชคดี” หรือเราอยู่ในจังหวะที่โลกเข้าข้างเรา ?! 

เขาฉายภาพไปถึงสมัย เกิดสงครามเย็นไทยได้รับแรงหนุนจากมหาอำนาจ มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมหาศาล ที่ทำให้เราสามารถก้าวผ่านสถานการณ์นั้นมาได้

หรือยุคของปี 1980 ที่ไทยได้อานิสงส์จากการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นทำให้อุตสาหกรรมเติบโต หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ไทยได้อานิสงส์จากแรงงานที่มีต้นทุนที่ไม่สูง และจากโลกที่เปิดการค้าเสรี หรือหลังโควิด-19 การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

แต่มาถึงวันนี้ถามว่าโอกาสเหล่านั้นที่เราเคยใช้ มันยังคงมีอยู่หรือไม่ ระบบที่เรามีต่อยอดความยั่งยืนได้หรือไม่?

หรือการท่องเที่ยวในปัจจุบัน “ผมไม่มั่นใจ” ว่าจะเป็นเครื่องยนต์หลักที่จะนำพาเราไปสู่ทางรอดได้ หรือการลงทุนที่ไหลไปอยู่ประเทศอื่นที่มีระบบนวัตกรรมที่ครบถ้วนครบวงจรกว่าเรา ก็เริ่มเห็นชัดแล้วว่า “เทคโนโลยี” ไม่ใช่เครื่องมือ แต่คือสนามแข่งขันที่ไม่รอใคร 

ดังนั้น วันนี้จังหวะนี้เป็นจังหวะที่อยากจะชวนทุกคนช่วยคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ จะไม่เป็นเพียงแค่กลไกสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง แต่ต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการเปิดพื้นที่ใหม่แล้วก็สร้างอนาคตใหม่ให้กับประเทศไทย

และเวลาเราพูดถึงนวัตกรรม มักจะนึกถึงเทคโนโลยีที่ล้ำๆ นึกถึง “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) บล็อกเชน IOT แต่นวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกจริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนเพราะเทคโนโลยี แต่เปลี่ยนโลกได้เพราะ “ระบบ” ที่ฝังอยู่ในโครงสร้างของเศรษฐกิจและสังคมโดยตรง “ระบบ” ไม่ใช่แค่โค้ด ไม่ใช่แค่ชิป แต่เป็นแรงจูงใจที่ดี ที่ทำให้ทุกคนอยากที่จะเข้ามาอยู่ในเครือข่ายที่เป็นมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับ และสามารถที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้จริง

ถ้าต้องการให้ประเทศไทย ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม ต้องเริ่มจากคำถามว่า ระบบของเราพร้อมหรือยัง? มากกว่าการมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่ถ้าระบบไม่เปลี่ยนต่อให้เราพัฒนาเทคโนโลยีไปมากแค่ไหน เศรษฐกิจก็ยังอยู่ที่เดิม ทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม

หากดูภาพของเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันยังไม่สามารถฟื้นกลับมาเท่ากับระดับก่อนโควิดได้ แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปกว่า 4 ปี แต่เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.1% ต่ำสุดในอาเซียน เหล่านี้เป็นสัญญาณของการใช้ “เครื่องยนต์แบบเดิม” อย่าง ท่องเที่ยว ส่งออก การบริโภค ที่วันนี้ต้องยอมรับเครื่องยนต์ “กำลังอ่อนแรงลง”

ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังเผชิญกับ “ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง” อย่างมาก สะท้อนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 88% ของจีดีพี ยังไม่รวมหนี้นอกระบบสัดส่วนการส่งออกไปที่สหรัฐสูง ความเสี่ยงต่อสงครามทางการค้า และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เริ่ม “น่ากังวล”

หรือเรื่องของ “ภาษีทรัมป์” ที่ภาพวันนี้ “สหรัฐและจีน” เริ่มตกลงกันได้ ขณะที่ “ไทย” ยังไม่เห็นภาพดังกล่าว ซึ่งไทยยังโดนเก็บภาษีนำเข้าอยู่ที่ระดับ 36% หรือแม้มองบวกว่าทุกประเทศโดนภาษี 10% เหล่านี้ก็ยังสูง เพราะไทยไม่เคยเจอ “ต้นทุนสูง” บนเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และความเสี่ยงอยู่มาก

หากประเทศไทยอยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ต่อไปในอนาคต อีก 2-3 ปีข้างหน้า โอกาสที่จะเห็นจีดีพีเกินระดับ 2% ไม่ใช่เรื่องง่าย! ดังนั้น วันนี้ไม่ใช่มารอให้ “เครื่องเก่า” กลับมาฟื้นตัว แต่เป็นเวลาที่เราต้องกล้าสร้าง “เครื่องยนต์ใหม่” ให้ประเทศ และเชื่อว่า “นวัตกรรม” จะเป็นคำตอบ!!

แต่หากย้อนดูการลงทุนด้านวิจัย และพัฒนา หรือ R&D ของไทยอยู่ที่ 1.2% ของจีดีพี ถือว่าไม่น้อยแต่สิ่งที่เป็นคำถามคือ ทำไมผลลัพธ์ยังไม่กลับมาสะท้อนผ่านเศรษฐกิจ เพราะ “เรามักวัดความสำเร็จของนวัตกรรมจากจำนวนโครงการ จำนวนบทความ แผนงานที่วางเอาไว้ แทนที่จะวัดจากผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ” ดังนั้น หากไม่ปรับตัว ไม่ปรับระบบคิดสิ่งเหล่านี้คงไม่สะท้อนไปถึงจีดีพีให้เติบโตขึ้นได้ในอนาคต

เหล่านี้ คงยังเป็น “ปัจจัยท้าทาย” สำหรับไทยเพราะวันนี้ไม่ใช่งบ R&D มากหรือน้อย แต่ที่สำคัญคือ เรามีระบบที่จะทำให้นวัตกรรมใช้งานได้จริงหรือไม่ เหล่านี้ยังเป็นคำถาม 

หรือในบริบทของ “แอปพลิเคชัน” ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ 10 ปีก่อน ใครจะเชื่อวันนี้สามารถทำธุรกรรมโอนเงินผ่านมือถือได้ คนไทยกว่า 65 ล้านบัญชี ใช้โมบายแบงกิ้งประจำ และ 70% ของธุรกิจทั้งประเทศเกิดขึ้นผ่านปลายนิ้วบนมือถือ เหล่านี้เริ่มมาจากแอปเวอร์ชันเล็ก เรียนรู้จากความผิดพลาดและค่อยๆ ขยายวงกว้างมากขึ้น

อุตสาหกรรมการเงินระดับประเทศ ยังกล้าที่เริ่มทดลองกล้าเสี่ยง บนการทำอย่างระมัดระวัง ทำอย่างสมเหตุสมผลก็สามารถทำได้ ดังนั้น เชื่อว่าระบบที่ดี ไม่ต้องรอให้สมบูรณ์แบบ แต่ต้องเริ่มให้เร็ว เรียนรู้ให้ไว นี่คือหัวใจของนวัตกรรม หรือแนวคิดของการทำนวัตกรรมแบบ AGILE

หากมองบทบาทของภาครัฐในอดีต รัฐมีหน้าที่จัดสรรงบประมาณ ให้ทุนกับมหาวิทยาลัยกับหน่วยงานวิจัยต่าง แต่ในโลกที่หมุนเร็ว การให้ทุนอย่างเดียวไม่พอ รัฐต้องมองบทบาทใหม่จากเดิมจากผู้ให้ทุน มาเป็น “ผู้ออกแบบระบบ” ต้องออกแบบสนามให้คนเก่งในประเทศไทยที่มีอยู่มาก สามารถกล้าที่จะทดลองในสนามจริง

เขาเชื่อว่า วันนี้ไทยยืนอยู่บนทางแยก และทางแยกที่ว่าคือ ทางแยกจาก “ระบบเดิม” ที่มีอยู่ ถ้าไทยไม่เปลี่ยน เชื่อว่านวัตกรรมก็ยังจะติดอยู่ในห้องทดลอง ถ้าเราไม่เปลี่ยนงบวิจัยก็จบอยู่ที่รายงานบนชั้นวางหนังสือ ถ้าเราไม่เปลี่ยนคนเก่งก็จะไปโตที่อื่นในประเทศที่มีระบบที่ดี

ดังนั้น ถ้าเรากล้าเปลี่ยน เขาเชื่ออย่างมากว่า งานวิจัยจะเชื่อมกับธุรกิจจริง ถ้ากล้าเปลี่ยนงบประมาณจะถึงเอสเอ็มอีถ้าเรากล้าเปลี่ยนเชื่อว่าคนเก่งจะกลับมาสร้างอนาคตให้กับประเทศ “ผมอยากบอกว่า โชคช่วยได้แค่บางครั้ง แต่ระบบที่ดีจะช่วยได้ทุกครั้ง”

สุดท้ายนี้ “กฤษณ์” เชื่อว่าในฐานะที่ตัวเองเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาอนาคตของประเทศไทยอย่างเต็มที่ ก็เชื่อว่าประเทศไทยยังเต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ ไม่ว่าทุน ไม่ว่าความรู้ ไม่ว่าคนเก่ง หรือโอกาส เราล้วนมีทุกอย่าง สิ่งสำคัญคือ ต้องหาความเชื่อมโยงให้เจอ และเดินไปด้วยกัน       

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์