ชงครม.เคาะ ’2 มาตรการ’ แก้หนี้ เครดิตบูโรเผยเฉียด 12 ล้านบัญชี ‘ค้างหนี้พุ่ง‘

ชงครม.เคาะ ’2 มาตรการ’ แก้หนี้ เครดิตบูโรเผยเฉียด 12 ล้านบัญชี ‘ค้างหนี้พุ่ง‘

เปิดมาตรการแก้หนี้ 2 มาตรการล่าสุด ชง ครม. 11 ธ.ค.นี้ แก้หนี้เอสเอ็มอี-บ้าน-รถ สำหรับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 1 ปี ลูกหนี้มีปัญหาชำระหนี้ ตั้งเกณฑ์ยกดอกเบี้ยให้ต้องสมัครใจเข้าโครงการจ่ายหนี้ติดต่อกัน 12 เดือน มาตรการชุดสอง “ยกหนี้” สำหรับหนี้เสียไม่เกิน 5 พันบาท

แหล่งข่าวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบมาตรการทางการเงิน เพื่อแก้ไขหนี้ประชาชน หนี้ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่จะมีการนำเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในวันที่ 11 ธ.ค.2567 เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 ชุด

โดยมาตรการแก้หนี้ชุดที่ 1 จะเน้นการแก้หนี้เอสเอ็มอี หนี้รถและหนี้บ้าน และมาตรการที่ 2 เสมือนเป็นมาตรการ “ตัดติ่งหนี้” เพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสกลับมาเข้าสู่ระบบการเงินได้อีกครั้ง

แต่อย่างไรก็ตามเบื้องต้น ที่ภาครัฐ และธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) อยู่ระหว่างการหารือร่วมกันคือ การขยายเพดานการแก้หนี้ให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม เอสเอ็มอี สำหรับเอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อให้มากกว่า 3 ล้านบาท เช่นเพิ่มเป็น 5 ล้านบาท เป็นต้น เนื่องจากมาตรการนี้ มีการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูเพื่อสถาบันการเงิน (FIDF) เหลือเพียง 0.23% จาก 0.46% ทำให้มีเงินส่วนนี้เข้ามาช่วยลดภาระลูกหนี้ได้มากขึ้น 

ดังนั้น ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือ การเพิ่มเพดานในการแก้หนี้ครั้งนี้ จะมีการเสนอเพดานใหม่ สำหรับการแก้หนี้ของเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ล้านบาท ทันทีในรอบ 11 ธ.ค.นี้ และ

อีกข้อเสนอคือ หลังจากนี้จะขอดูผลของการสมัครใจเข้าโครงการว่ามากน้อยแค่ไหน หากมีแนวโน้มมากขึ้น และมีลูกหนี้กลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นหนี้มากกว่า 3 ล้านบาทอีกจำนวนมาก ก็อาจพิจารณาขยายหลักเกณฑ์ภายหลังอีกครั้ง

มาตรการชุดที่ 1 สกัดเอ็นพีแอล

สำหรับมาตรการแก้หนี้ชุดที่ 1 เบื้องต้นเป็นความร่วมมือกัน ทั้ง 3 ฝ่าย คือกระทรวงการคลัง ในการลดเงินนำส่ง FIDF ให้เหลือ 0.23% เหมือนนำภาษีที่นำส่งเข้ารัฐมาช่วยแก้หนี้ให้ลูกหนี้ และอีก 2 ผู้เกี่ยวข้องคือ ธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้ที่ต้องให้ความร่วมมือ

ทั้งนี้ การแก้ไขหนี้ในมาตรการชุดแรกนี้ อาจมีการกำหนดการเป็นหนี้เสีย คือไม่เกิน 12 เดือน หรือ 1 ปี และอีกกลุ่มคือ ไม่ได้จำกัดว่า ลูกหนี้จะต้องเป็นหนี้เสีย หรืออยู่ในกลุ่ม SM ที่มีประวัติค้างชำระหนี้ไม่เกิน 90 วัน เพียงแต่มีประวัติค้างชำระ บางเดือนบางงวด หรือที่ผ่านมาเคยมีปัญหาคลุกคลิกในการชำระหนี้

โดยเกณฑ์การเข้าโครงการครั้งนี้ ลูกหนี้ต้อง “สมัครใจ” เข้าโครงการเอง ทั้งลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 1 ปี และลูกหนี้ที่มีปัญหาในการชำระหนี้ โดยเบื้องต้น จะมีการทำสัญญาคล้ายปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ลูกหนี้จ่ายเฉพาะเงินต้นติดต่อกัน 12 เดือนต่อเนื่อง หากทำตามสัญญาต่อเนื่อง ภาระดอกเบี้ยทั้งหมดส่วนนี้แบงก์จะ “ยกเว้น” ให้

“โครงการนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายส่วน โดยเฉพาะลูกหนี้ ที่ต้องสมัครเข้าโครงการในการแก้หนี้ โดยเฉพาะการกำหนดว่า ช่วง 12 เดือนแรกลูกหนี้ต้องสามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่อง ตรงตามที่ปรับโครงสร้างหนี้ไว้ ถึงจะยกเลิก “ดอกเบี้ย” ให้ทั้งหมด และไม่สามารถก่อหนี้ใหม่ได้ในช่วง ที่ทำสัญญาแก้หนี้

ดังนั้น ต้องรักษาวินัยต้องมีส่วนร่วมทำด้วยกัน ไม่มีใครได้อย่างเดียวและไม่ต้องเสียอะไร และเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเมื่อลูกหนี้กลุ่มนี้ออกจากโครงการลูกหนี้จะเบาตัวเยอะมาก”

เปิดทางผู้มีปัญหาชำระหนี้เข้าโครงการ

อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกหนี้ ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่หากต้องการเข้าโครงการแก้หนี้ตามมาตรการนี้ การเข้าโครงการต้องขึ้นกับแบงก์เช่นเดียวกันว่า ลูกหนี้มีศักยภาพชำระหนี้ต่อไปหรือไม่ หรือมีปัญหาคลุกคลิกในการชำระหนี้ เหมือนที่ลูกหนี้แจ้งความประสงค์ไว้ 

ดังนั้น นอกจากลูกหนี้ประเมินตัวเองแล้ว ส่วนนี้แบงก์จะต้องประเมินลูกหนี้ด้วยเช่นกันว่ามีความสามารถในการชำระหนี้ถดถอยลงหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการจงใจผิดนัดชำระหนี้ หรือ Moral Hazard ดังนั้นต้องมีการเกณฑ์วัดหนี้เองก็ต้องมองเช่นกันถึงสามารถเข้าโครงการได้ ต้องมีเกณฑ์วัดบางอย่าง

มาตรการชุด 2 ยกหนี้ไม่เกิน5พัน

สำหรับมาตรการชุดที่ 2 เป็นมาตรการคล้ายตัด “ติ่งหนี้” โดยมีกำหนดวงเงินการค้างชำระหนี้สำหรับรายย่อย เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อราย 

โดยจะกำหนดให้ลูกหนี้ ที่ค้างชำระหนี้ ที่เป็นหนี้เสียต่างๆ ต้องจ่ายเงินต้น 10-15% จากเงินค้างชำระทั้งหมด เพื่อล้างหนี้ ปิดหนี้ทั้งก้อนได้ทันที ซึ่งมาตรการนี้ออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ให้พ้นจากการเป็นหนี้ทั้งก้อน สำหรับลูกหนี้ที่มียอดการค้างชำระเพียงเล็กน้อย หรือไม่ตั้งใจค้างชำระ หรือไม่ทราบว่า มีหนี้ค้างชำระหนี้จนทำให้ลูกหนี้ตกเป็น “เอ็นพีแอล”

หนี้เสียพุ่ง 9.6 ล้านบัญชีไปไม่รอด

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า หากดูข้อมูลจากบัญชีลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้เครดิตบูโร ณ สิ้นต.ค. พบว่า สินเชื่อบุคคลธรรมดา​รวม อยู่ที่ 13.6 ล้านล้านบาท ไม่เติบโตหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือเดือนก่อนหน้า เนื่องจากสินเชื่อไม่โต 

แต่หากดูภาพ หนี้เอ็นพีแอล พบว่า สิ้นต.ค. มาอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น​ 8.8% ของสินเชื่อรวม​ โดยเพิ่มขึ้น 13% จากเดือนก่อนหน้านี้ โดยในนี้ แยกเป็นหนี้บ้าน 2.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.6 แสนสัญญา​ , หนี้รถยนต์​ 2.6 แสนล้านบาท 8.4 แสนสัญญา

​บัตรเครดิต​ 7 หมื่นล้านบาท 1​ ล้านสัญญา , ​สินเชื่อส่วนบุคคล​ 2.8 แสนล้าน​บาท 4.9 ล้านสัญญา​ , หนี้ทำธุรกิจ​ 7.9 หมื่นล้านบาท​ 1.7 แสนสัญญา และนาโนไฟแนนซ์​ 1 หมื่นล้านบาท มีบัญชีค้างชำระ 2.5 แสนสัญญา โดยหากรวมทั้งหมด คิดเป็นหนี้เสียที่ 1.2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นบัญชีที่เป็นหนี้เสียแล้ว 9.6 ล้านบัญชี ​

หนี้ค้างชำระอีก 6.6 แสนบัญชี

ส่วนหนี้ที่กำลังจะเสียหรือค้างชำระไม่เกิน 90 วัน หรือ SM พบว่าทั้งหมดมีจำนวน​ 6.6 แสนล้านบาท​ หรือ 2.2 แสนสัญญา​ หลักๆ คือสินเชื่อบ้าน​ 1.3 แสนสัญญา, สินเชื่อรถยนต์​ 5.4 แสนสัญญา​ บัตรเครดิต​ 1.7 แสนใบ​ สินเชื่อส่วนบุคคล​ 7.9 แสนสัญญา​ เงินกู้ไปค้าขาย ​6.7 หมื่นสัญญา​ และนาโนไฟแนนซ์​ 5.5 หมื่นสัญญา​​

ซึ่งหากดูทั้งสองกลุ่ม ทั้งลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียแล้ว 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นบัญชีที่ไปไม่ไหวถึง 9.6 ล้านบัญชี และกลุ่มที่ค้างชำระหนี้ในกลุ่ม SM อีก 6.6 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 2.1 ล้านบัญชี พบว่าทั้งสองกลุ่ม มียอดหนี้รวมเกือบ 3 ล้านล้านบาท และมีบัญชีที่ค้างชำระรวมกันถึง 11.82 ล้านสัญญา

ขณะที่ บัญชีที่เข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้​หลังจากเป็นหนี้เสียหรือการทำ​ TDR ตัวเลขสะสมมาอยู่ที่​ 1.04 ล้านล้านบาท​ เติบโต​ 3% และตัวเลขที่ทำปรับโครงสร้างหนี้เชิง​ป้องกัน ​หรือ​ DR. เพื่อไม่ให้ไหลไปเป็นหนี้เสียตามเงื่อนไขการให้กู้อย่างรับผิดชอบ (RL)​ ตัวเลขสะสมตั้งแต่เมษายน​ 2567​ สะสมมาอยู่ที่​ 7.3 แสนล้านบาท​ 1.4 ล้านบัญชี​

“แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นหนี้เสีย​และการปรับโครงสร้างหนี้​แบบนี้ไม่ใช่​ TDR แต่ด้วยเวลานี้ความกลัวหนี้เสียมีอยู่มากมาย​ลูกหนี้รายไหนที่มีบัญชีสินเชื่อที่ทำ​ DR ก็มักจะถูกปฏิเสธการให้กู้เพิ่ม การให้กู้ใหม่​ จนเป็นที่มาของเสียงที่ร้องเรียนมาเยอะมากช่วงนี้”

สุดท้าย คือ บัญชีที่เป็นหนี้เรื้อรัง ล่าสุดมีคนเข้าร่วมโครงการเพียง 7.7 พันบัญชี​ จำนวนเงิน​ 354 ล้านบาท​เท่านั้น