เสือร้องไห้

ไม่รู้ว่าผู้บริหาร "กองทุนต้นโพธิ์" จะทำอะไรต่อไป ถ้าให้ผมทายก็คงต้องลงทุนต่อไป เพราะ “คนที่เกิดเป็นนักลงทุนแล้ว ก็ต้องเป็นนักลงทุนต่อไป” เพียงแต่อาจจะต้อง “เปลี่ยนกลยุทธ์” แต่ก็คงไม่เปลี่ยนปรัชญาหรือแนวทางหลักที่เคยใช้มานาน

การปิดกองทุน “เฮดจ์ฟันด์” ซึ่งน่าจะเป็นกองแรก ๆ ของไทยซึ่งนักลงทุนจำนวนมากก็อาจจะ “เพิ่งรู้จัก” ตอนที่ประกาศปิด คือ “กองทุนต้นโพธิ์” ทำให้ผมระลึกถึงกองทุน “เฮดจ์ฟันด์” กองแรก ๆ ของโลกคือกองทุน “Tiger Fund” ของ Julian Robertson นักลงทุน “ในตำนาน” ของเฮดจ์ฟันด์ซึ่งเพิ่งจะเสียชีวิตในวัย 90 ปี เมื่อ 2 ปีก่อน

ข้อแรกก็คือ ไทเกอร์ฟันด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1980 ที่คนก็ยังแทบไม่รู้จักเฮดจ์ฟันด์ โดยช่วงที่ก่อตั้งนั้นใช้เงินของครอบครัวบวกกับญาติและมิตรสหายแค่ 8 ล้านดอลลาร์ แต่พอถึงปี 1998 ก่อนปิดกองทุนในปี 2000-01 พอร์ตก็ขึ้นถึงจุดสูงสุดและมีมูลค่ากว่า 7 พันล้านเหรียญ กลายเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีถึง 32% หลังหักค่าธรรมเนียม ในเวลายาวนานถึง 18 ปี

เท่าที่ผมทราบอย่างไม่เป็นทางการ กองทุนต้นโพธิ์เปิดในปี 2548 และก็เริ่มต้นลงทุนด้วยเม็ดเงินของครอบครัวผู้ก่อตั้งญาติสนิทและมิตรสหายเหมือนกัน และในช่วงเวลาประมาณ 14-15 ปีก่อนที่จะปิดตัวในปีนี้คือน่าจะประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว กองทุนก็น่าจะมีพอร์ตในระดับ “หมื่นล้านบาท” สร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีสูงมาก อาจจะปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน

ข้อสอง Robertson เป็นนักลงทุนแบบ “VI เข้มข้น” ในช่วงที่บัฟเฟตต์ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกันกำลังพุ่งขึ้นแรงติดอันดับคนรวยที่สุดของประเทศและแนวคิด “Value Investments” กำลังเป็นที่นิยมและ “ร้อนเป็นไฟ” อานิสงส์จากการที่บัฟเฟตต์บอกสังคมว่าตนเองเป็น “VI”

กองทุนต้นโพธิ์เองนั้น ก็น่าจะบริหารด้วยแนวคิดแบบ “VI” เหมือนกัน เห็นได้จากการที่กองทุนมักจะถือหุ้น “VI” จำนวนมากและหลาย ๆ ตัวนั้นก็เป็นตัวเดียวกับที่ “เซียน VI” ชื่อดังและ “พอร์ตใหญ่” ของตลาดหุ้นไทยถือ

ข้อ 3 ช่วงที่บูมสุดขีดของ Tiger Fund น่าจะประมาณปี 1994-1998 ซึ่งเป็นช่วงท้ายของกองทุนนั้น ดัชนีดาวโจนวิ่งขึ้นไปเป็น “กระทิง” คือขึ้นไปจากประมาณ 3,600 จุด เป็น 9,000 จุดเป็นการปรับตัวขึ้นไป 149% หรือเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 26% ในเวลา 4 ปี เป็น ปีทองของตลาดหุ้นและน่าจะเป็น “ปีทองของหุ้น VI” ในอเมริกา

กองทุนต้นโพธิ์เองนั้น วันที่ก่อตั้งดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 700 จุด และในช่วงที่เป็น “ยุคทองของ VI” คือหลังจากปี 2551 ที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม และดัชนีหุ้นตกลงมาถึงประมาณ 400-500 จุดแล้วก็เด้งขึ้นอย่างแรงติดต่อกันประมาณ 4 ปี จนถึงปี 2556 ที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเป็นประมาณ 1,600 จุด เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 300% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 34% และนั่นก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้กองทุนต้นโพธิ์เติบโตโดดเด่นที่สุด เช่นเดียวกับนักลงทุน VI ส่วนบุคคลที่ร่ำรวยและหลายคนกลายเป็น “เซียน VI” ในยุคนั้น

ข้อ 4 กองทุน Tiger ล่มสลายในปี 2000 ต่อ 2001 โดยที่เป็นปีวิกฤติหุ้นไฮเท็ค อย่างไรก็ตาม กองทุน Tiger นั้นเป็นกองทุน “VI” และก็ถือหุ้นไฮเท็คน้อยและไม่ได้ขาดทุนหนักจากไฮเท็ค แต่ประสบกับปัญหาความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการลงทุน เฉพาะอย่างยิ่งถือหุ้น US Airways ซึ่งเป็นสายการบินจำนวนมหาศาลถึง 25% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทและหุ้นตัวนั้นประสบปัญหาใหญ่ล้มละลายในที่สุด และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ ขาดทุนจากค่าเงินเยนซึ่งช่วงนั้นผันผวนหนัก

กองทุนต้นโพธิ์นั้น ผมเชื่อว่ามีการลงทุนแบบ VI ที่ “Focus” มาก คือถือหุ้นใหญ่ ๆ ไม่กี่ตัวและมีสัดส่วนมากของพอร์ต นี่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ “เซียน VI” แทบทุกคนในประเทศไทยใช้ ซึ่งก็ทำให้หลายคน “รวยไปเลย” ในยามที่บรรยากาศของการเก็งกำไร “ร้อนแรงเป็นไฟ” อย่างที่เห็นในช่วงหลายปีก่อนจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้

ข้อ 5 เมื่อปิดกองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิหรือ NAV ของกองทุน Tiger ลดลงมากมาย เหลือแค่ 1.3 พันล้านเหรียญ ทำให้คนถือหน่วยขาดทุนอย่างหนักจากที่กองทุนเคยมีกำไรสูงถึง 2 พันล้านเหรียญในช่วงเวลาหนึ่ง และนั่นก็คือ “หายนะ” ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

กองทุนต้นโพธิ์นั้น ดูเหมือนว่าการปิดกองทุนเป็นไปอย่างช้า ๆ และน่าจะมีการคิดคำนึงมานานพอสมควรว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ตลาดหุ้นไม่ได้ไปไหนมานานและโอกาสที่จะดีขึ้นนั้นน้อย ดังนั้น การลงทุนต่อไปก็คงจะไม่เกิดผลดีต่อผู้ถือหน่วยลงทุนซึ่งก็รวมถึงผู้บริหารและครอบครัวด้วย ดังนั้น มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิที่เหลืออยู่ตามข่าวที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท จากที่ผมคาดเดาว่าน่าจะเคยอยู่ถึงหลักเกือบหมื่นล้านบาทจึงน่าจะพูดได้ว่าไม่ถึงกับ “หายนะ” และก็ยังน่าจะสูงกว่าเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในวันแรกเมื่อประมาณ 19-20 ปีที่แล้ว

เม็ดเงินที่ “หายไป” นั้น ผมไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่ก็คาดว่าเป็นการผิดพลาดในการลงทุนครั้งใหญ่ในหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัว ซึ่งมาพบภายหลังว่าหุ้นอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิดและเมื่อยุคของ “การเก็งกำไรในหุ้น VI” ที่ดำเนินมาต่อเนื่องหลายปีจบลง คอร์เนอร์หุ้น “แตก” การขาดทุนก็รุนแรงมากและดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวได้ยาก พอร์ตจึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และสถานการณ์การลงทุนแบบเดิมคงไม่กลับมาอีก หนทางที่ดีที่สุดคือการปิดตัวลง

ข้อ 6 ผู้บริหารกองทุน Tiger คือ Robertson ไม่ได้ “เจ๊ง” ตามกองทุนไปด้วย เขายังมีเงินส่วนตัวที่ได้รับจากการบริหารกองทุนเกือบทุกปี ว่าที่จริง ในรอบ 20 ปีนั้น มีเพียง 4 ปีที่พอร์ตลงทุนขาดทุน ดังนั้น เขาคงได้ส่วนแบ่งกำไรมาค่อนข้างมาก และดังนั้นเขาก็ “สู้ต่อ” โดยการสนับสนุนลูกน้องในบริษัทออกไปตั้งกองทุนหลาย ๆ กองที่ต่อมาเรียกว่า “กองทุนลูกเสือ” หรือ “Tiger Cub” โดยที่เขาเข้าไปร่วมลงทุนและเป็นที่ปรึกษาในบริษัทจัดการกองทุนแต่ละบริษัทด้วย

กองทุน “ลูกเสือ” เหล่านั้นยังใช้หลักการแบบ VI ตามกองทุนเสือหรือ Tiger Fund หลาย ๆ กองประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ ตัว Julian Robertson เองก็ยังบริหารเงินของตนเอง อาจจะผ่านกองทุนลูกเสือด้วย และก็ประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างสูง ก่อนตายเขามีความมั่งคั่งประมาณ 4.8 พันล้านเหรียญหรือ 170,000 ล้านบาท ไม่นับเงินที่บริจาคไป 2 พันล้านเหรียญ และเขารอดจากหายนะในวิกฤติซับไพร์มปี 2008

Robertson คล้ายกับนักลงทุนในตำนานคนอื่น เช่นบัฟเฟตต์ที่รักการลงทุนเป็นชีวิตจิตใจ เขาเริ่มสนใจในหุ้นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ตายเมื่ออายุ 90 ปีและกลายเป็น “ตำนาน” ของเฮดจ์ฟันด์ซึ่งเริ่มดังและเป็นที่นิยมในปี 1986 หลังจาก “Institutional Investor” วารสารนักลงทุนชื่อดัง ลงบทความผลงานสุดยอดของไทยเกอร์ฟันด์

ผมไม่รู้ว่าผู้บริหารของกองทุนต้นโพธิ์จะทำอะไรต่อไป ถ้าให้ผมทาย ก็คงต้องลงทุนต่อไป เพราะ “คนที่เกิดเป็นนักลงทุนแล้ว ก็ต้องเป็นนักลงทุนต่อไป” เพียงแต่อาจจะต้อง “เปลี่ยนกลยุทธ์” แต่ก็คงไม่เปลี่ยนปรัชญาหรือแนวทางหลักที่เคยใช้มานาน 

ในกรณีของ Robertson สิ่งที่เขาเปลี่ยนนั้น น่าจะอยู่ที่การจัดการกับ “ความเสี่ยง” ที่จะยอมรับได้ในการลงทุน เพราะในอดีตที่แทบจะฆ่าเขานั้น ก็เป็นเพราะว่าเขาอาจจะมั่นใจอะไรมากเกินไปในความสำเร็จของตนเองจนทำให้ไม่ได้คิดหรือตระหนักถึงความเสี่ยงร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แม้ว่าโอกาสจะน้อยนิดแค่ไหนก็ตาม

และทั้งหมดนั้นก็เป็นบทเรียนให้กับนักลงทุน VI ที่เป็นบุคคลธรรมดาด้วยเช่นกันที่จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของการลงทุนเท่า ๆ กับหรือมากกว่าผลตอบแทนที่ดีเลิศที่มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงลิ่ว