อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อราคา Bitcoin กลับมาทะลุ 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ

อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อราคา Bitcoin กลับมาทะลุ 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ

จับตากระแสราคา Bitcoin ที่กลับมาทะลุ 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ มาดูกันว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้จะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด แล้วจะเกิดอะไรขึ้นจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ ต้องติดตาม

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดราคาพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับ 44,420 ดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2566) ซึ่งนับว่าเป็นการขึ้นไปแตะระดับ 44,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน หลังจากที่ Bitcoin ได้ผ่านพ้นช่วงหลายวิกฤติของ สินทรัพย์ดิจิทัล มาแล้ว เช่น การล่มสลายของสกุลเงินดิจิทัล TerraUSD, Luna, และบริษัท FTX รวมถึงคดีฟ้องร้องของบริษัทลงทุนคริปโทฯ (Grayscale และ Binance) กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. โดยผลตอบแทนของ Bitcoin นับตั้งแต่ต้นปี 2023 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วเกินกว่า 160%

สำหรับ Bitcoin ถูกจัดว่าเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) โดยถูกประเมินในเชิงปัจจัยพื้นฐานจากฝ่ายที่เชื่อใน Bitcoin ว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ ทองคำ เพราะถูกใช้ในฐานะ Store of Value และเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงสำหรับช่วงที่เงินเฟ้อสูง ความเสี่ยงจากมาตรการการใช้นโยบายทางด้านการเงินแบบผ่อนคลาย (QE : Quatitative Easing) และความเสี่ยงจากการลดบทบาทดอลลาร์ (De-Dollarization) ทั้งนี้ราคาจะปรับขึ้นหรือลดลงก็ยังมีตัวแปรสำคัญอย่างกลไกอุปสงค์และอุปทาน (Demand&Supply) 

อย่างไรก็ดี สำหรับมุมมองจากอีกฝ่ายก็ยังคงมองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่า และจับต้องไม่ได้ อาทิ Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan ก็ได้กล่าวในช่วงให้คำแถลงการณ์กับวุฒิสภาสหรัฐในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะปิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ทั้งหมด หากว่าตัวเขาเองมีอำนาจหน้าที่สั่งการในหน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแต่ในปีนี้ราคา Bitcoin ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ Bitcoin ในรอบนี้ก็มาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

  • Market Sentiment : สภาวะตลาดปัจจุบันเริ่มเป็นผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังจากที่การคาดการณ์ของแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ FED ในปี 2024 มีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงใกล้เคียงกับระดับเป้าหมาย และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง เช่น ตัวเลขการจ้างงาน รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของสหรัฐ เริ่มปรับตัวลดลงแล้วที่ 4.17% จึงทำให้ตลาดเริ่มมีเงินไหลเข้าตามสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น 
  • Spot Bitcoin ETF : โดยหลายสถาบันการเงินใหญ่อย่าง Blackrock และ Wisdomtree เริ่มยื่นขอจัดตั้ง Spot Bitcoin ETF โดยคาดว่าการจัดตั้งของกองทุนประเภท ETF ดังกล่าวน่าจะได้รับการอนุมติจาก ก.ล.ต. ของสหรัฐในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งหากกองทุนดังกล่าวได้รับการอนุมัติ ก็จะช่วยให้นักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยสามารถซื้อ-ขาย Bitcoin ETF ใน ตลาดหลักทรัพย์ ได้เหมือนกับการซื้อหุ้นหรือกองทุน ETF อื่นๆ ซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนที่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าลงทุนใน Bitcoin เนื่องจากมีความกังวลในเรื่องการถอนเงินและการขโมยข้อมูลกลับมาตัดสินใจกล้าลงทุนมากยิ่งขึ้น
  • Bitcoin Halving : หากจะต้องอธิบายในเชิงเทคนิค Bitcoin มีเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังคือระบบ Blockchain โดย Blockchain ของ Bitcoin ใช้ระบบ Proof-of-Work ในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมและทำให้ผู้ใช้ในเครือข่ายยอมรับถึงความถูกต้องของธุรกรรม ซึ่งระบบ Proof-of-Work คือการที่เครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายจะต้องแข่งขันกันแก้ไขสมการคณิตศาสตร์ แลกกับสิทธิ์ในการรับรองธุรกรรมและเพิ่มชุดข้อมูลใหม่ ซึ่งก็คือการเพิ่ม Block ใหม่ ลงใน Blockchain กระบวนการนี้ก็คือ "การขุด" เมื่อมีผู้ใช้ที่แก้สมการคณิตศาสตร์ได้เป็นคนแรก ผู้ใช้คนนั้นก็จะสามารถเป็นผู้รับรองธุรกรรมและเพิ่มธุรกรรมชุดนั้นลงไปใน Block ใหม่ ซึ่งผู้ที่สามารถแก้ไขสมการคณิตศาสตร์ ได้เป็นคนแรกก็จะได้รับรางวัลเป็น Bitcoin เหรียญใหม่ที่ยังไม่ได้ออกมาในระบบ โดยในช่วงที่ Bitcoin ได้ถูกสร้างขึ้นมานั้นระบุว่า จำนวน Bitcoin ที่จะได้รับหากแก้สมการคณิตศาสตร์สำเร็จเป็นคนแรกคือ 50 เหรียญต่อ Block

แต่ผู้สร้าง Bitcoin ได้ฝังชุดคำสั่งไว้ใน Blockchain ที่กำหนดให้รางวัลจากการขุดจะลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 210,000 Block โดยแต่ละ Block จะถูกสร้างขึ้นทุก 10 นาที ดังนั้น 210,000 Block จะใช้เวลาโดยประมาณ 4 ปี การที่รางวัลจากการขุดจะลดลงทุกๆ 4 ปี เรียกกันว่าปรากฏการณ์ Bitcoin Halving นับตั้งแต่ที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาเกิด Bitcoin Halving มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ในปี 2012 รางวัลลดลงจาก 50 เหรียญ เหลือ 25 เหรียญ ครั้งที่ 2 ในปี 2016 ลดลงจาก 25 เหรียญ เหลือ 12.5 เหรียญ และครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ปี 2020 ลดลงจาก 12.5 เหรียญ เหลือ 6.25 เหรียญ

สำหรับช่วงที่คาดว่าจะเกิดปรากฏการณ์ Halving ครั้งต่อไปคือ ประมาณช่วงเดือนเมษายน ปี 2024 (ซึ่งอาจจะยังมีการเปลี่ยนแปลงได้) โดยรางวัลจะลดลงจาก 6.25 เหรียญ เหลือ 3.125 เหรียญ ซึ่งการเกิด Bitcoin Halving นั่นก็หมายถึงอุปทานของ Bitcoin ที่ลดลง ในขณะเดียวกันอุปสงค์ความต้องการของ Bitcoin ก็จะมีมากขึ้นจากบริษัทต่างๆ ที่เริ่มให้ความสนใจในการลงทุนและเข้าซื้อ Bitcoin หรือบริษัทที่เตรียมจ่อรอออก Spot Bitcoin ETF นั่นเอง และการที่จะเกิด Bitcoin Halving ขึ้นในปีหน้าก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ช่วยให้ราคา Bitcoin ปรับเพิ่มขึ้นมานั่นเอง

ถึงแม้ว่าราคา Bitcoin จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแรงในปีนี้ แต่สุดท้ายแล้วการลงทุนใน Bitcoin ก็ยังถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ และนักลงทุนอาจจะต้องทำใจยอมรับผลของการสูญเสียเงินลงทุนทั้งจำนวน อย่างไรก็ดีในอีกแง่มุมหนึ่งนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นใน Bitcoin ว่า เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่า และต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนออกจากสินทรัพย์ในรูปแบบเดิม ก็อาจจะไม่ต้องลงทุนใน Bitcoin โดยตรง แต่อาจเลือกพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมที่มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นที่ราคามักจะเคลื่อนไหวตามราคา Bitcoin อาทิ หุ้น Coinbase หรือ Block ก็ช่วยให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin โดยที่ไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds