เตรียมพร้อม 'เสียภาษี' เมื่อคุณมีรายได้จาก 'แหล่งเงินได้นอกประเทศ'

เตรียมพร้อม 'เสียภาษี' เมื่อคุณมีรายได้จาก 'แหล่งเงินได้นอกประเทศ'

ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป “กรมสรรพากร” ได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จาก “แหล่งเงินได้นอกประเทศ” ผู้มีเงินได้จากต่างประเทศต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร

โดยปกติเมื่อ "บุคคลธรรมดา" มีรายได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้หากเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ทว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ

เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก Global Forum on Transparency and Exchange of Information for Tax Purposes และได้ลงนามผูกพันในความตกลงพหุภาคี (ข้อตกลงการค้าพหุภาคี เป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศตั้งแต่สามประเทศขึ้นไป) ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี (MAC) และความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (MCAA CRS)

ดังนั้น จึงทำให้กรมสรรพากรมีความจำเป็นต้องปรับปรุงการจัดเก็บภาษีให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ระหว่างผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ภายในและภายนอกประเทศ

เงื่อนไขจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง สามารถอธิบายได้ดังนี้

  • มีรายได้จากต่างประเทศต้องเสียภาษีอย่างไร

หากเป็นก่อนหน้านี้ที่กรมสรรพากรยังไม่มีการปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ คือ เมื่อใดก็ตามที่บุคคลทั่วไปมีรายได้ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือนอกประเทศ ต้องนำรายได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเมื่อถึงเกณฑ์กำหนด

ทั้งนี้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรคสองและวรรคสาม ได้กำหนดไว้ว่า แหล่งเงินได้จากนอกประเทศ ประกอบด้วย การทำงานในต่างประเทศให้กับนายจ้างที่อยู่ต่างประเทศ หรือทำงานในประเทศไทยแล้วส่งงานให้กับนายจ้างที่อยู่ต่างประเทศ การไปประกอบกิจการในต่างประเทศและส่งเงินเข้ามาในประเทศไทย การนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร และภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการส่งสินค้าในประเทศไทยออกไปขายยังต่างประเทศ

ทั้งหมดนี้ถือเป็นรายได้จากแหล่งนอกประเทศ และถ้าผู้มีรายได้จากแหล่งนอกประเทศดังกล่าว พักอยู่ในประเทศไทยในปีเป็นเวลา 180 วัน ซึ่งอาจจะอยู่อย่างต่อเนื่องหรือไม่ก็ได้ แต่รวมระยะเวลาแล้วได้ถึง 180 วัน โดยยึดระยะเวลาตามพาสปอร์ตของผู้มีรายได้ และนำเงินรายได้ที่ได้รับเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันกับที่เกิดรายได้ ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากรายได้ในส่วนนี้ด้วย

ดังนั้น ในทางตรงกันข้าม หากผู้มีรายได้นำเงินที่ได้รับเข้ามาในประเทศไทย ในปีภาษีเดียวกันกับที่เกิดรายได้ แต่ไม่ได้พักอยู่ในประเทศไทยถึง 180 วัน โดยยึดระยะเวลาตามพาสปอร์ตของผู้มีรายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้

  • อัปเดต! เงื่อนไขมีรายได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ

และล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2566 กรมสรรพากรได้มีการปรับปรุงวิธีการการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 เรื่อง การเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร

ผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่การงานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีดังกล่าว และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้น เข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 48 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีที่ได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

​กล่าวคือหากบุคคลธรรมดามีรายได้จากแหล่งนอกประเทศตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น และมีการนำเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทย จะต้องนำรายได้จากแหล่งนอกประเทศนี้ มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในประเทศไทย

  • ใช้ “อนุสัญญาภาษีซ้อน” เพื่อป้องกันการเสียภาษีซ้ำซ้อน

และถึงแม้ผู้มีรายได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนที่เป็นเงินได้จากแหล่งนอกประเทศก็ตาม แต่หากผู้มีเงินได้ถูกเก็บภาษีไว้ในประเทศแหล่งเงินได้แล้ว ผู้มีเงินได้สามารถนำภาษีที่ถูกประเทศแหล่งเงินได้ที่มีการทำอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทย เก็บไว้มาใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในอนุสัญญาภาษีซ้อน

ทั้งนี้ อนุสัญญาภาษีซ้อน หรือ Double Taxation Agreement (DTAs) คือ สนธิสัญญาทางภาษีแบบทวิภาคี (Bilateral Treaties) ที่เป็นการลงนามระหว่างประเทศไทย และประเทศคู่สัญญาต่างๆ เพื่อป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อน ในกรณีที่เงินได้ของบุคคลหนึ่งเข้าเกณฑ์การเสียภาษีมากกว่า 1 ครั้ง ภายใต้กฎหมายภาษีอากรของประเทศมากกว่า 1 ประเทศขึ้นไป

อธิบายแบบเข้าใจง่ายก็คือ ถ้าบุคคลธรรมดามีรายได้จากต่างประเทศที่เป็นประเทศคู่สัญญากับประเทศไทย และได้เสียภาษีไว้แล้วกับแหล่งเงินได้ต่างประเทศนั้น ผู้มีรายได้สามารถเก็บหลักฐานไว้เพื่อใช้เป็นเครดิตภาษีได้ ซึ่งอาจทำให้เสียภาษีในประเทศไทยน้อยลง เนื่องจากสัญญานี้จะช่วยลดภาระการจ่ายภาษีที่ซ้ำซ้อนลงนั่นเอง

สรุป...จะมีผลกระทบต่อนักลงทุนหรือไม่

ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า เมื่อกรมสรรพากรมีการปรับปรุงวิธีการการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีมีเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศ นอกจากจะช่วยสนับสนุนและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกและลงนามผูกพันในความตกลงพหุภาคีดังกล่าวแล้ว ยังเสริมสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีระหว่างผู้มีเงินได้จากแหล่งเงินได้ภายในและภายนอกประเทศ เพื่อยกระดับความโปร่งใสในการปฏิบัติทางภาษีให้ถูกต้อง

แต่ ณ ตอนนี้ ยังต้องรอทางกรมสรรพากรทบทวนอีกครั้ง โดยต้องพิจารณาผลกระทบที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ลงทุนรายย่อย เนื่องจากมีความจำเป็นในการโอนเงินกลับเข้าประเทศไทยสูงกว่านักลงทุนรายใหญ่ ที่ไม่มีความจำเป็นในการใช้เงินเท่ารายย่อย และผลกระทบอื่นๆ อีกด้วย

 

อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting