หักปากกาเซียน…จีดีพี ไตรมาส2 โตแค่ 1.8%

หักปากกาเซียน…จีดีพี ไตรมาส2 โตแค่ 1.8%

‘พิพัฒน์’เคเคพี ชี้ จีดีพีไตรมาส2 ของสภาพัฒน์ ออกมาหักปากกาเซียน ต่ำกว่าคาดไว้มาก โตเพียง 1.8% จากคาดที่โต 3% หลังส่งออกทรุด การบริโภคในประเทศดิ่ง

     ภายหลัง 'สภาพัฒน์' ออกมาหั่นจีดีพีไทยปี 2566 เหลือ 2.5 - 3%  หลังไตรมาส 2 ขยายตัวได้แค่ 1.8% จากส่งออกกดดันหนัก รายได้ท่องเที่ยวอาจไม่ถึงเป้าแม้นักท่องเที่ยวจะถึงเป้า 28 ล้านแต่การใช้จ่ายยังไม่เข้าเป้า

         นอกจากนี้ จับสถานการณ์การเมืองที่อาจกดดันเศรษฐกิจ จากเบิกจ่ายงบช้า โดยคาดงบภาครัฐปี 2567 กว่าจะลงสู่ระบบเศรษฐกิจเม.ย.ปีหน้า

         กลายเป็นตัวเลขหักปากกาเซียนกันอีกครั้ง เมื่อสภาพัฒน์เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสองออกมา และ GDP ของไทยโตได้แค่ 1.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งๆที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ตั้งความหวังไว้ค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่คาดกันว่าน่าจะโตได้สัก 3% เพราะนักท่องเที่ยวก็มาแล้ว เมืองก็เปิดแล้ว

          ถ้าใครดูตัวเลขเผินๆ ฟังคำอธิบายว่า การท่องเที่ยวโตดีเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจ แต่การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว(เพราะไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว) และการส่งออกสินค้าหดตัว ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด ก็พอเข้าใจได้ และรอดูนักวิเคราะห์ปรับประมาณการ GDP ลงแน่ๆ

หักปากกาเซียน…จีดีพี ไตรมาส2 โตแค่ 1.8%        ถ้าดูฝั่งการผลิต ภาคบริการโตดี ภาคอุตสาหกรรมติดลบ ภาคเกษตรนิ่งๆ ก็มีเหตุผล

     แต่ใครที่เรียนเศรษฐศาสตร์มา จำสมการ Y=C+I+G+X-M ได้ขึ้นใจ และติดตามตัวเลขเศรษฐกิจแบบใกล้ชิดอาจจะปวดหัวขึ้นไปอีก เมื่อดูตัวเลขในรายละเอียด

      การบริโภคเอกชน (C) โต 7.8% โห...โตดีจัง (ว่าแต่ว่าการบริโภคอะไรมันโตดีขนาดนี้นะ)

     การบริโภคของรัฐบาล (G) ติดลบ 4.3% เข้าใจได้ แต่สัดส่วนไม่เยอะเท่าไรไม่น่าทำเศรษฐกิจโตช้า

      การสะสมทุนถาวร (I) +0.4% อะ ไม่เป็นไรไม่เยอะ

      การส่งออกสินค้าและบริการ +0.7% ท่องเที่ยวบวกเยอะ แต่การส่งออกหดตัว พอเข้าใจได้

     แต่การนำเข้าสินค้าและบริการ ติดลบ แปลว่าการส่งออกสุทธิต้องบวกเยอะสิ

     ถ้าเอาทุกตัวบวกกัน C+I+G+(X-M) เศรษฐกิจต้องโตเกิน 6% เลยนะ!

     อ้าว แล้วทำไมตัวเลขมันเหลือแค่ 1.8% ได้ละ!

      ก่อนอื่นต้องออกตัวไว้ก่อนว่า มีคนเคยบอกว่า ถ้าอยากกินอาหารให้อร่อย อย่าเดินเข้าไปในครัว แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วแวะไปในครัวนิดนึงแล้วกัน

     GDP ย่อมาจากคำว่า Gross Domestic Product หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งวัด “มูลค่าตลาด” ของสินค้าและบริการ ที่ถูก “ผลิตขึ้น” ในระยะเวลาหนึ่ง ในประเทศใดประเทศหนึ่ง

      สังเกตว่าโดยความหมาย GDP วัดกันที่การผลิต อาจจะไม่ได้เท่ากับมูลค่าของสินค้าและบริการที่ถูกบริโภคในระยะเวลานั้น

      เพราะฉะนั้นการวัดมูลค่าของการใช้จ่าย C+I+G+X-M อาจจะไม่เท่ากับ GDP ก็ได้ และส่วนต่างอาจจะอธิบายได้โดยตัวเลขอีกสองตัว คือ การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง (changes in inventory) และส่วนต่างทางสถิติ (statistical discrepancy)

       เช่น ของที่ผลิตในไตรมาสนี้ อาจจะถูกบริโภคในไตรมาสถัดไป การผลิตในไตรมาสนี้อาจจะสูงกว่าการบริโภคก็ได้ส่วนต่างก็คือการสะสมสินค้าคงคลัง ซึ่งในไตรมาสถัดไปอาจจะเห็นการบริโภคสูงกว่าการผลิตก็ได้สลับกันไป 

     และอาจจะพอวิเคราะห์แนวโน้มได้ เช่น ถ้าเศรษฐกิจกำลังจะฟื้น เราอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังเป็นลบเยอะๆ เพราะคนกลับมาบริโภคก่อนที่การผลิตจะเพิ่มขึ้น

      และเนื่องจากเป็นการประมาณสองวิธีมาเจอกัน ถ้าหาอะไรไม่เจอ ก็ใส่ไว้ในส่วนต่างทางสถิติไว้ก่อนก็ได้

      ซึ่งการส่วนต่างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร และส่วนใหญ่ส่วนต่างจะไม่ใหญ่มากนัก และสลับกันบวกลบ

       แต่ไตรมาสนี้เป็นอีกไตรมาสที่เราเห็นอะไรแปลกๆ เพราะส่วนต่างสองตัวนี้ใหญ่มากๆ และยิ่งดูตัวเลขเศรษฐกิจยิ่งงง

        ประมาณว่าส่วนต่างที่มาจากสองตัวนี้สูงถึงประมาณ 5 percentage points แบ่งเป็น error ประมาณ 3.2% และมาจากสินค้าคงคลังอีก 1.7% และที่น่ากลัวและไม่เข้าใจคือสองส่วนนี้มันโตขึ้นเรื่อยๆ

        แปลว่า เราประมาณกันว่า GDP โตได้ 1.8% ในไตรมาสนี้ แต่มีส่วนที่เราอธิบายไม่ค่อยได้สูงกว่าประมาณการของGDP อีก

      ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ เกาหัวแกรกๆ และคิดว่าเรากำลังวิเคราะห์อะไรกันอยู่เนี่ย

     แต่อย่างว่านะครับ เนื่องจากตัวเลขนี้เป็นตัวเลขทางการ และตัวเลขที่ดีที่สุดที่เรามี เราก็ต้องเชื่อมั่น และศรัทธากันต่อไป

       และน่าจะแปลว่าเศรษฐกิจที่เราคิดว่าจะฟื้นได้เนี่ย มันฟื้นช้ากว่าที่เราคาด สอดคล้องกับตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับลดลงมาเร็วมากที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีกำลังซื้อดีขนาดนั้น

       ท่ามกลางความเสี่ยงที่มีอยู่เต็มไปหมด ทั้งหนี้สูง กำลังซื้อรากหญ้าหด เศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน ดอกเบี้ยขึ้นค่าเงินผันผวน ผมว่าแบงก์ชาติเห็นแบบนี้ น่าจะต้องหยุดขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อนและรอดูสถานการณ์ก่อน

 

       แต่ไม่ได้แปลว่าดอกเบี้ยในตลาดจะไม่ขึ้นนะครับ เราอยู่ในโลกที่มีความแตกต่างกันมาก ฝั่งนึงมีเงินเฟ้อ เศรษฐกิจร้อนแรง อีกฝั่งมีเงินฝืด และเศรษฐกิจย่ำแย่ ค่าเงินก็เลยผันผวนวุ่นวายไปหมด