ส่องเศรษฐกิจไทยเดินหน้าไม่สะดุด ระหว่างรอรัฐบาลใหม่

หากสถานการณ์การเมืองมีสัญญาณชัดเจน เชื่อเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือปี 2566 ยังคงเดินหน้าต่อได้ เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น และทั้งปีจะเห็นจีดีพีไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 3% แต่หากทิศการเมืองยืดเยื้อ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นต่างชาติปี 2567

ท่ามกลางอุณหภูมิการเมืองไทยที่สูงขึ้นระหว่างรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของต่างชาติ โดยเฉพาะหากมีการยืดเยื้อ สะท้อนได้จากเงินทุนต่างชาติในตลาดหุ้นยังคงไหลออกสุทธินับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม

อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2566 สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัว สอดคล้องกับล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 3.4% และในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม Asian Development Bank (ADB) ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 โต 3.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นประเทศเดียวในอาเซียน หลังจากนี้มาติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลใหม่ไปด้วยกัน

เงินทุนต่างชาติไหลออกสะท้อนความเชื่อมั่นต่างชาติในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะไม่สดใสมาตั้งแต่ต้นปี 2566 เห็นได้จากดัชนี SET Index ที่ร่วงลงต่อเนื่องจนหลุดแนวต้านสำคัญที่ 1,500 จุด ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงเพียง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากที่เคยสูงถึงแสนล้านบาทต่อวัน โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2566 เงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลออกสุทธิจากตลาดหุ้นไทยกว่าแสนล้านบาท ได้กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงราว 10% นับตั้งแต่ต้นปี 2566 และต่ำสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ที่ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ค่อนข้างเปราะบางมาตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 โดยเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเฉลี่ยปีละ 3-4% ตลอดเกือบสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับประเทศเกิดใหม่ที่โตได้ถึงปีละ 5-7% รวมทั้งผลตอบแทนหุ้นไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำกว่าภูมิภาค

นอกจากนี้ ย้อนดูอดีตในปีที่มีการเลือกตั้ง พบว่า เงินทุนต่างชาติไหลออกมาบางส่วนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ก่อนที่จะไหลกลับเข้ามาเป็นลำดับ แต่สำหรับการเลือกตั้งรอบนี้ต่างชาติกลับยังคงขายสุทธิเพิ่มเติมหลังการเลือกตั้งต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท เหล่านี้สะท้อนถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายและบั่นทอนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศและภาคการท่องเที่ยว หากสถานการณ์การเมืองมีแนวโน้มคลี่คลายเป็นไปในทิศทางดี มีความชัดเจนมากขึ้น คาดว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามา

 

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 66 ยังมีศักยภาพเติบโตได้

ล่าสุด IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2566 เป็น 3.0% จาก 2.8% ในเดือนเมษายน โดยหลัก ๆ เกิดจากการปรับเพิ่มประมาณการของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และอินเดีย รวมทั้งยังคงมีมุมมองเดิมต่อเศรษฐกิจไทย เติบโตได้ 3.4% ในปีนี้และ 3.6% ในปี 2567 สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเดินหน้าต่อเนื่อง  

โดยมีแรงส่งมาจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศที่กลับสู่ระดับปกติในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 แม้ภาคการส่งออกจะไม่สดใส โดยในเดือนมิถุนายนยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 ส่งผลให้ครึ่งปีแรก 2566 มูลค่าส่งออกหดตัว 5.4% จากกำลังซื้ออ่อนแอลงของประเทศคู่ค้าที่เป็นผลสืบเนื่องจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและการค้าโลก แต่มีแนวโน้มที่การส่งออกไทยจะปรับดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก

โดยเงื่อนไขสำคัญของการส่งออกอยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แม้ IMF คาดการณ์เศรษฐกิจจีนเติบโต 5.2% แต่ก็ยังคงต่ำกว่าในอดีตจากการบริโภคและการลงทุนที่ยังไม่กลับสู่จุดเดิม สุดท้ายมองเครื่องยนต์ที่เป็นแรงหนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเป็นภาคการท่องเที่ยว สะท้อนจากตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงมิถุนายน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุเกือบ 13 ล้านคน และทั้งปี 2566 มีลุ้นแตะที่ระดับ 29 ล้านคน ซึ่งการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนยังเป็นปัจจัยท้าทายต่อการท่องเที่ยวไทยมากขึ้น สาเหตุจากภาคการผลิตของจีนชะลอลงในไตรมาสสองและการใช้จ่ายของคนในประเทศยังคงไม่แข็งแรง ส่งผลต่อความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศ

มองปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองหากยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจปีหน้า

โดยภาพรวม หากสถานการณ์ทางการเมืองมีสัญญาณความชัดเจนมากขึ้น เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2566 ยังคงเดินหน้าไปต่อได้ โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น และทั้งปี 2566 จะเห็นตัวเลขจีดีพีไทยอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3% แต่หากทิศทางการเมืองยืดเยื้อต่อไป จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของต่างชาติในปี 2567 

โดยผลด้านเศรษฐกิจที่เห็นชัดเจน คือ 1) การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงการจับจ่ายภาคครัวเรือนเป็นไปอย่างระมัดระวัง ส่งสัญญาณกำลังซื้อและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และรายได้ในอนาคต 2) งบการใช้จ่าย และงบการลงทุนภาครัฐ ซึ่งต้องใช้งบประมาณของปีนี้ไปก่อน ที่สำคัญ คือทำให้การลงทุนใหม่ที่ต้องใช้งบประมาณใหม่ล่าช้าออกไป เมื่อภาคเอกชนยังไม่เห็นโครงการลงทุนภาครัฐใหม่ ๆ ก็มีแนวโน้มชะลอการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนของนโยบาย

และ 3) การลงทุนจากต่างประเทศชะลอตัวลง จากการที่นักลงทุนต่างชาติ จะพิจารณาถึงโอกาสและความเหมาะสมที่จะมาลงทุนในไทย โดยอาจจะทำให้ไทยเสียโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยในอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ หรืออาจเสียโอกาสในการเร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) กับคู่ค้ายุโรป หรือประเทศคู่ค้าสำคัญ ส่งผลให้ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยพิจารณาย้ายฐานไปเวียดนามหรือประเทศอื่นได้

หากสถานการณ์ของเรายังไม่มีการเอื้อให้เกิดประโยชน์จากการตั้งฐานการผลิตในประเทศ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไทยยังต้องพึ่งภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ