ค่าเงินบาทเปิดตลาด’อ่อนค่า’ที่ 34.39บาทต่อดอลลาร์ โฟลว์จ่ายปันผลต่างชาติ

ค่าเงินบาทเปิดตลาด’อ่อนค่า’ที่ 34.39บาทต่อดอลลาร์  โฟลว์จ่ายปันผลต่างชาติ

กรุงไทย ชี้เงินบาทผันผวนอ่อนค่า จากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ โฟลว์ธุรกรรมปลายเดือนของผู้นำเข้า และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว มองกรอบเงินบาทวันนี้ 34.25-34.50บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24 เม.ย.) ที่ระดับ  34.39 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.37 บาทต่อดอลลาร์  มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.00-34.60 บาทต่อดอลลาร์ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.50 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบเดิม โดยปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจมาจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ โฟลว์ธุรกรรมปลายเดือนของผู้นำเข้า และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว 

ทั้งนี้ ความผันผวนอาจมาจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติซึ่งอาจยังไม่รีบกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยได้ในระยะสั้น ในเชิงเทคนิคัล ต้องจับตาว่าเงินบาทจะสามารถทรงตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน (34.30 บาทต่อดอลลาร์) ได้หรือไม่

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสผันผวนสูง ซึ่งหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด หรือ ตลาดปิดรับความเสี่ยงจากรายงานผลประกอบการที่แย่กว่าคาด ก็อาจหนุนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ได้ ทว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม BOJ โดยเงินเยนญี่ปุ่น (JPYอาจแข็งค่าขึ้นได้ ถ้าBOJ มีการปรับนโยบายการเงินเซอร์ไพรส์ตลาด เช่น ยกเลิกการทำ Yields Curve Control หรือ ขยับกรอบเป้าบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ให้สูงขึ้น หรือ ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า BOJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งถัดไป (ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่มองว่า BOJ จะยังไม่ปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดหรือตึงตัวมากขึ้นในการประชุมครั้งนี้)

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

โดยในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น เงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าใกล้โซน 34.45 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงิน เคลื่อนไหวผันผวนตามรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรเตรียมรับมือความผันผวนในตลาดการเงินในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ พร้อมรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (GDP Q1/2023 และ อัตราเงินเฟ้อ PCE) และ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บริษัทเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪       ฝั่งสหรัฐฯ – เนื่องจากสัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วง Silent Period ของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก่อนการประชุมเฟดในเดือนพฤษภาคม (วันที่ 2-3) ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ อาทิ Microsoft, Meta, Alphabet และAmazon เป็นต้น โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ทำให้การบริโภค โดยเฉพาะในส่วนภาคการบริการยังคงขยายตัวได้ดี ทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้อาจโต +2.0% จากไตรมาสก่อนหน้าเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งก็เป็นการชะลอลงบ้างตามแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดและภาวะเงินเฟ้อสูง (เศรษฐกิจโตกว่า +2.6% ในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้า) อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับภาคการบริการและการบริโภคอาจเริ่มชะลอตัวลงมากขึ้นได้ สะท้อนผ่าน ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณชะลอลง ชี้จากยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) ที่อาจทยอยปรับตัวขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนเมษายน ก็อาจลดลงสู่ระดับ 104 จุด อนึ่ง การชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้ชัดเจนหรือรุนแรงนักในระยะสั้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ PCE โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ก็อาจอยู่ในระดับสูงกว่า 4.5% ทำให้เฟดยังมีความจำเป็นที่ต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ +25bps สู่ระดับ 5.00%-5.25% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม

 

▪       ฝั่งยุโรป – ตลาดมองว่า เศรษฐกิจยูโรโซนยังมีแนวโน้มขยายตัวราว +1.4%y/y ในไตรมาสแรกของปีนี้ หนุนโดยการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ ในขณะที่ภาคการผลิตนั้นชะลอตัวลงชัดเจน สอดคล้องกับรายงานดัชนีPMI ในช่วงต้นปี ซึ่งภาพเศรษฐกิจยูโรโซนที่ยังคงขยายตัวอยู่และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นอย่างมาก จะหนุนให้ ECB สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องได้ (ตลาดคาดอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate อาจแตะระดับ 3.75% จากระดับ 3.00% ในปัจจุบัน) และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร/การเงิน และกลุ่ม Healthcare นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB

 

▪       ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งแรกของผู้ว่าฯBOJ ท่านใหม่ (Kazuo Ueda) แม้เราจะคาดว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.10% พร้อมกับคงเป้าหมายบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ที่ระดับ 0.00%+/-0.50% แต่ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มคาดหวังว่า BOJ อาจมีการส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หลังอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด (Core-Core CPI) เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 3.8% ซึ่งต้องจับตาว่า BOJ จะมีการปรับนโยบายการเงิน เช่น ปรับกรอบของบอนด์ยีลด์10 ปี หรือ ยกเลิกการทำ Yields Curve Control ในการประชุมครั้งนี้หรือไม่ เพราะหาก BOJ ปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ก็อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้นได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมีนาคม

▪       ฝั่งไทย – ตลาดคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอาจกดดันให้ ยอดการส่งออก (Exports) เดือนมีนาคมอาจหดตัวถึง -16%y/y สอดคล้องกับการปรับตัวลงแรงของดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมีนาคม อนึ่ง ยอดการนำเข้า (Imports) ก็อาจหดตัวราว -5%y/y ตามราคาสินค้าโดยเฉพาะสินค้าพลังงานที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลราว -1 พันล้านดอลลาร์