‘กรุงไทย’ เปิด 7 ยุทธศาสตร์ เร่งสร้าง New Growth Engine สู่การเติบโตยั่งยืน

“กรุงไทย” เปิดแผน 5 ปี ชู 7 ยุทธศาสตร์หนุนแบงก์โตยั่งยืน เชื่อ ‘ธุรกิจเวลท์ - เวอร์ชวลแบงก์’ สร้างการเติบโตใหม่ของธนาคาร เตรียมเปิดตัว “เจวีเอเอ็มซี” ไตรมาส 3 ปีนี้ หวังกดเอ็นพีเอลงใกล้เคียงอุตสาหกรรม
“ธนาคารกรุงไทย” ประกาศแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (2566-2570) ขับเคลื่อนแบงก์ไปสู่การเติบโต และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ธนาคารภายใต้แนวคิด “มุ่งสร้างคุณค่า สู่ความยั่งยืน” เพื่อหนุนองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคง ตอบโจทย์กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แบบครอบคลุม ทั่วถึง และ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เหมือนที่กรุงไทยยืนหยัดมาโดยตลอด
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า การเดินไปข้างหน้าของธนาคาร ต้องอาศัยการขับเคลื่อนจาก 7 ยุทธศาสตร์ เพื่อเร่งให้ธนาคารเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น
โดยยุทธศาสตร์แรก การเร่งต่อยอดยุทธศาสตร์เดิม X2G2X ให้เกิดความเชื่อมโยงในเชิงลึกของกลุ่มลูกค้า การสร้างมูลค่าจากธุรกิจกับคู่ค้าของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 2.การขับเคลื่อนประสิทธิภาพองค์กรด้วยดิจิทัลและข้อมูล โดยเร่งนำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด
3.เปิดตัวแพลตฟอร์ม เพื่อสร้าง
สำหรับ Wealth Management ยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก แต่ธนาคารจำเป็นที่จะต้องเร่งลงทุนแพลตฟอร์มไปสู่ Wealth Tech หรือการใช้เทคโนโลยี มาช่วยหนุนการเติบโตในธุรกิจมั่งคั่งของธนาคารมากขึ้น เพื่อก้าวขึ้นไปสู่ 1 ใน 3 ในธุรกิจ Wealth Management ทั้งในด้านจำนวนลูกค้า และสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหรือ AUM
4.การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมเท่าเทียม และยั่งยืน ภายใต้ ESG และ 5.การพัฒนา และเสริมขีดความสามารถการทำงานแห่งอนาคต โดยเฉพาะการตั้งเป้าในการปรับสินทรัพย์ที่สร้างคุณค่าในเวลารวดเร็วขึ้น ผ่านการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และสินทรัพย์รอการขาย (NPA)ให้ลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถไปอยู่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมธนาคารโดยรวม
โดยการทำให้ “หนี้เสีย” และสินทรัพย์รอการขายลดลงอย่างรวดเร็วได้นั้น จำเป็นที่ธนาคารต้องมีกลไกเข้ามาช่วย ซึ่งล่าสุดธนาคาร อยู่ระหว่างหารือกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ JVAMC 3-4 ราย เพื่อให้เข้ามาช่วยบริหารหนี้เสีย และหนี้คงค้างของธนาคารลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนจาก JVAMCได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้
“ธนาคารเปิดกว้าง ในการตั้ง JVAMC เพราะเอเอ็มซีแต่ละรายอาจมีความเก่งคนละด้าน ดังนั้นก็จะดึงจุดแข็งจากบริษัทเหล่านี้มาช่วยให้ธนาคารบริหารหนี้เสียให้เกิดมูลค่าเร็วที่สุด ภายใน 7 ปี จากเดิมที่เราอาจเห็นมูลค่าจากการบริหารสิ่งเหล่านี้ที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 15 ปี ถึงจะเห็นผลได้”
ท้ายที่สุดแล้ว ธนาคารเชื่อว่าภายในแผน 5 ปี ธนาคารจะมีระบบที่บริหารจัดการหนี้ และหนี้เอ็นพีเอที่มีคุณภาพมากขึ้น จะทำให้ทั้งหนี้เสีย และเอ็นพีเอของธนาคาร จะกลับมาอยู่ใกล้ระดับเดียวกับอุตสาหกรรมได้ โดยหนี้เสียในอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ 2.8% ขณะที่หนี้เสียของธนาคารอยู่กว่าระดับ 3% และหนี้เอ็นพีเอ ตั้งเป้าให้ลดลงครึ่งหนึ่ง หรือให้เหลือ 2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่ 4 หมื่นล้านบาท
6.การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีหลักขององค์กร ผ่านการลงทุนด้านไอที การยกระดับโครงสร้างเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง รวมถึง การยกระดับสาขารูปแบบใหม่ของธนาคาร ที่จะขับเคลื่อนด้วย Data และเทคโนโลยี โดยจะเป็นการให้บริการผ่านแท็บเล็ตเป็นหลัก ไม่มี Counter
โดยคาดว่าจะสามารถเปิดสาขารูปแบบใหม่นี้ได้ภายในปีนี้ 20 สาขา
ส่วนยุทธศาสตร์สุดท้ายคือ การปฏิรูปวัฒนธรรม และปลูกฝังวิธีการทำงานแบบใหม่เพื่อขับเคลื่อนให้องค์กรเกิดความคล่องตัวมากขึ้น
"ธนาคารหวังว่า การเปลี่ยนธนาคารไปสู่มิติใหม่ๆ การใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อนองค์กรมากขึ้น จะยิ่งเป็นการยกระดับประสิทธิภาพธนาคารมากขึ้น ผ่านการเห็นมูลค่าทางบัญชี (Price to book value) ของธนาคารในอนาคตที่จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่อยู่ไม่ถึง 1% และเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ผ่านตัวเลขผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ของธนาคารภายใน 5 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 9%"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







