พรรคชาติพัฒนากล้าชูหนุนธุรกิจแข่งขันเข้าถึงตลาดทุน

พรรคชาติพัฒนากล้าชูหนุนธุรกิจแข่งขันเข้าถึงตลาดทุน

พรรคชาติพัฒนากล้าชูหนุนธุรกิจแข่งขันเข้าถึงตลาดทุน เปิดโอกาสธุรกิจสีเทาเข้ามาอยู่ในการกำกับ ปรับเงื่อนไขหนุนลงทุนหน่วยแอลทีเอฟ และทบทวนมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมให้สร้างนักลงทุนสถาบันในประเทศ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค พรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงวิสัยทัศน์"นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย ภายใต้รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง"ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO)ว่า นโยบายการขับเคลื่อนตลาดทุนของพรรค คือ ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุนในตลาดทุนได้มากขึ้น ซึ่งทุกวันนี้ ตนมองว่า ตลาดทุนในบ้านเราขาดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดการแข่งขันและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน

ทั้งนี้ หากดูสถานการณ์ในตลาดทุนของประเทศเมื่อเทียบกับประเทศอื่น จะพบว่า บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 10-20 ปีก่อนจะพบว่า บริษัทขนาดใหญ่ก็ยังเป็นรายเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ เมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น อเมริกา จะพบว่า มีรายชื่อบริษัทรายใหม่ๆที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง สะท้อนว่า ตลาดของเขาหรือระบบเศรษฐกิจเป็นระบบเปิดให้มีการแข่งขัน บริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่ด้วยนวัตกรรมสามารถเติบโตเป็นบริษัทชั้นนำได้ ขณะที่ ตลาดบ้านเราไม่เกิดขึ้น

“สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดบ้านเราสะท้อนว่า ขาดไดนามิก ขาดพลวัตการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้การแข่งขันสามารเข้าถึงแหล่งทุน กติกากฎหมาย ทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ปรัชญของพรรค คือ การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม กลไกตลาดจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน ซึ่งผมมองว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นอุปสรรคการพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนา”

ทั้งนี้ นโยบายพรรคในการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมของเรา คือ รื้อโครงสร้างเศรษกิจหลายเรื่อง ไม่ว่า จะรื้ออุตสาหกรรม พลังงาน เพื่อให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายประชาลดลง เปิดให้แข่งขันที่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไฟฟ้า ต้องเปิดให้ประชาชนที่มีเทคโนโลยีผลิตได้ด้วย ไม่ว่า การกำหนดราคาน้ำมัน การแข่งขันต่างๆ ต้องอาศัยความกล้า

นอกจากนี้ ยังมีนโนบายรื้อโครงสร้างความเสี่ยงในการกู้ด้วยการยกเลิกแบล็คลิสต์ ตรงนี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในแวดวงสถาบันการเงิน เพื่อลดต้นทุนภาระการเงินของประเทศและประชาชน นอกจากนั้น พรรคการเมืองต้องมีข้อเสนอที่ชัดเจนว่า เราจะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศอย่างไร ซึ่งเราเสนอยุทธศาสตร์ในการที่จะเอาของดีๆที่มีอยู่แล้ว และอยู่ในกระแสหลักของโลกแปรเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้กับประชาชน และประเทศ

สำหรับนโยบายตลาดทุนที่ควรทำโดยเร็ว 3 เรื่อง นั้น เขากล่าวว่า 20 ปีที่ผ่านมาที่ตนทิ้งวงการหุ้น เมื่อมองกลับมาก็ตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่า มูลค่าการซื้อขาย แต่ค่าคอมมิสชัน 0.2% จำนวนบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น บัญชีหุ้นจาก 1 ล้าน เป็น 3.5 ล้านคน ถือว่า มีการพัฒนา แต่ถ้าเรากลับมาทบทวน เป้าหมายตลาดทุนมี 2 เป็นแหล่งทุนที่ถูกให้ผู้ปนระกอบการ เป้า 2 เป็นแหล่งออมเงินให้ประชาชน

เมื่อเราพิจารณาเป้าหมายหลักแล้ว เราก็ทบทวนว่า ทำได้ดีแค่ไหน ก็ถือว่า ทำได้ดี วัดโดยทุกปัจจัย ถ้าดูเรื่องของขนาดแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ไทยเท่ากับ 19 ล้านล้านบาท หรือ 110% ของจีดีพี สะท้อนจีดีพีที่เติบโตต่อเนื่อง อีกปัจจัย ความหลากหลายและคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน มีการเปลี่ยนแปลงน้อยในระดับบน แต่ถ้าดูปริมาณ 800 บริษัทที่จดทะเบียน ถือว่า มีความหลากหลาย ที่ทำสำคัญ คือ บริษัทที่ไอพีโอ 2 ปีที่ผ่านมามีประมาณ 40 บริษัทต่อปี ปีที่แล้วมีมูลค่าสูงมาก ปีนี้ อยู่ในคิว 160 บริษัท อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนเงื่อนไขทางบัญชี ทำให้เร่งเข้าจดทะเบียนในตลาด แต่สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดยังเป็นแหล่งระดมทุนที่ดี

ในแง่แหล่งลงทุนที่มีผลตอบแทนที่ดี ก็วัดโดยราคาหุ้น ของไทยถือว่า ดีมากสุดตลาดหนึ่ง โดยพีอี 15 เท่าเทียบประเทศอื่นในภูมิภาค ถือว่า เหนือกว่าหมด แพ้ประเทศเดียว คือ อินเดีย ฉะนั้น เรื่องของราคาถือว่าดี

ในมุมของราคานั้น สภาพคล่องเราถือว่า ล้ำหน้า มูลค่าการซื้อขาย 6 หมื่นล้านบาทต่อวัน เทียบทุกประเทศในภูมิภาคถือว่า เหนือกว่ามาก ฉะนั้น ระดับการพัฒนาถือว่า โอเค

ถามว่า มีอะไรที่จะทำให้ดีขึ้น ในแง่ประเภทความหลากหลายของสินค้านั้น คิดว่า เรายังทำได้ในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เปิดโอกาสให้มีธุรกิจใหม่เข้ามาในตลาดทุน เราจะนำธุรกิจสีเทาเข้ามาอยู่ในการกำกับ เราต้องยอมรับว่า ธนาคารโลกบอกว่า ไทยเป็นประเทศที่มีธุรกิจนอกระบบอยู่จำนวนมากในโลกประมาณ 50% ของจีดีพี หนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจการพนัน นโยบายของพรรค คือ ต้องยอมรับความจริง โดยการกำจัดบ่อนเถื่อน และดึงรายได้จากคนที่ไปเล่นพนันในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเป็นสินค้าใหม่ของตลาดทุน

อีกเรื่องที่สำคัญ คือ ประเภทผู้เล่น โดยสัดส่วนผู้ลงทุนในตลาดทุน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นนักลงทุนต่างประเทศและ30% เป็นนักลงทุนรายย่อย ส่วนที่สำคัญ คือ กองทุนในประเทศ ปัจจุบันมีสัดส่วน 7-8% ของมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวัน ถือว่า น้อยเกินไป ดังนั้น นโยบายต้องชัดเจนในการทำเรื่องนี้ ซึ่งเรามองว่า มีปัญหาในเรื่องนโยบายการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวจากแอลทีเอสมาเป็นเอสเอสเอฟ ต้องปรับเงื่อนไขในแง่ระยะเวลาเอสเอสเอฟให้สั้นลง และทบทวนมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมให้สร้างนักลงทุนสถาบันในประเทศมาเป็นผู้ที่ซื้อหุ้นเวลาต่างชาติขายและเป็นกลุ่มสำคัญกลุ่มเดียวที่ยังทำหน้าที่ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงจากการวิเคราะห์หลักทรัพย์เพราะฝรั่งไม่ทำแล้ว ฉะนั้น เรื่องนี้สำคัญที่สุดในการส่งเสริมตลาดทุนไทยต่อไป