เข้าใจเหตุที่ ‘ไม่ออม’ เตรียมพร้อมวันเกษียณ | ธนิน ว่องวงศ์

เข้าใจเหตุที่ ‘ไม่ออม’ เตรียมพร้อมวันเกษียณ | ธนิน ว่องวงศ์

ก้าวผ่านปีใหม่มา หลายคนตั้งใจกำหนดเป้าหมายใหม่ให้ชีวิต และเป้าของหลายคนอาจมีเรื่อง “การออมเงิน” อยู่ด้วย แต่หากใครยังไม่มีเป้าและแผนเรื่องเงินออม คงถึงเวลาแล้วที่ต้องคิดวางแผน

เนื่องจากการออมเพื่อการเกษียณอย่างสุขสบายอาจต้องใช้เงินมากกว่าที่คิด และคนส่วนใหญ่เองก็กำลังประสบปัญหาเงินออมไม่พอเช่นเดียวกัน 

จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2564 พบว่ามีผู้สูงอายุจำนวนเพียงประมาณ 5% เท่านั้นที่ประเมินว่าตนเองมีรายได้เหลือเก็บ และมีผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเองหรือครอบครัวหลังจากเลยวัยเกษียณไปแล้วถึง 1 ใน 3 โดยในจำนวนนี้ เกือบครึ่งเลือกที่จะทำงานเนื่องจากเงินเก็บไม่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูตนเองหรือครอบครัว

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่คนไม่มีเงินออมคือ การมีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเศรษฐศาสตร์ แต่ปัจจัยที่ส่งผลการออมของคนแต่ละคนยังมีมากกว่านั้น คือปัจจัยเชิงจิตวิทยา โดยเฉพาะจิตวิทยาเชิงพฤติกรรม (Behavioral Psychology) ซึ่งรวมถึงการมีอคติเชิงพฤติกรรม (Behavioral Bias) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจต่างๆ

เข้าใจเหตุที่ ‘ไม่ออม’ เตรียมพร้อมวันเกษียณ | ธนิน ว่องวงศ์

ในที่นี้ คำว่า “อคติเชิงพฤติกรรม” หมายถึงความคิดหรือความเชื่อที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งมักส่งผลต่อการตัดสินใจของคน อคติเชิงพฤติกรรมมักเกิดจากการเชื่อในความคิดแรกของตน หรือความคิดที่เกินขึ้นโดยอัตโนมัติโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองอย่างละเอียดก่อน

โดยผู้คนมักใช้ระบบการคิดแบบนี้เนื่องจากใช้ความพยายามในการคิดน้อยกว่า และใช้เวลาในการตอบสนองน้อยกว่า แต่บางครั้งก็ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด 

หรือในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ ไม่สมเหตุสมผลนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ถูกศึกษาอย่างลึกซึ้งในสาขาเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics) ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในสาขาวิชาของเศรษฐศาสตร์ที่เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics) ไม่สามารถอธิบายได้

โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์ส่วนใหญ่มีอคติเชิงพฤติกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจเก็บออมเงินได้ทั้งสิ้น 

ดังนั้น การเรียนรู้ทำความเข้าใจอคติเชิงพฤติกรรมต่อเรื่องการออม ไม่เพียงแค่จะช่วยให้เรารู้ทันอคติตัวเองซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเก็บออมเงิน แต่จะมีส่วนช่วยในการอธิบายเหตุการณ์ที่ผู้สูงอายุจำนวนมากประสบปัญหาเงินออมไม่เพียงพอ

และสามารถนำไปสู่การหาเครื่องมือหรือช่องทางแก้ไขปัญหา ที่สอดคล้องกับการมีอคติเชิงพฤติกรรมบางลักษณะของคนไทยบางกลุ่มได้

เข้าใจเหตุที่ ‘ไม่ออม’ เตรียมพร้อมวันเกษียณ | ธนิน ว่องวงศ์

ในหลายๆ การศึกษา อคติเชิงพฤติกรรมถูกจำแนกออกเป็นหลายประเภทแตกต่างกันไป มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น

อคติชอบปัจจุบัน (present bias) หมายถึง การที่ผู้คนมีแนวโน้มในการให้น้ำหนักกับความสุขหรือผลตอบแทนที่อยู่ตรงหน้าในปัจจุบันมากกว่าความสุขหรือผลตอบแทนที่ต้องอดทนรอคอยเพื่อจะได้รับในอนาคต

เช่น การเลือกถอนเงินเร็วกว่ากำหนด ถึงแม้จะได้ดอกเบี้ยน้อยกว่าการรอถอนเงินในอนาคตก็ตาม

การแบ่งบัญชีในใจ (mental accounting) คือ การที่คนแบ่งเงินหรือทรัพย์สินสำหรับแต่ละจุดประสงค์ออกจากกัน และไม่มองว่าเงินเหล่านั้นสามารถใช้แทนกันได้

เช่น การแบ่งเงินสำหรับการออมและการบริโภคในแต่ละเดือน แต่หากเงินสำหรับการบริโภคเหลือ ก็ไม่อยากนำไปออม และอยากใช้ให้หมดตามที่แบ่งไว้แต่แรก

การกลัวความสูญเสีย (loss aversion) คือ การเกรงกลัวเป็นอย่างสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะไปในเชิงลบเมื่อเทียบกับระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เช่น การไม่อยากออมเงินเพิ่ม เนื่องจากมองว่าการลดเงินที่ต้องใช้บริโภคในแต่ละเดือนเป็นการสูญเสียรูปแบบหนึ่ง

การมีความมั่นใจล้นเกิน (overconfidence bias) คือ การที่ผู้คนมีความมั่นใจเกี่ยวกับความรู้ความสามารถของตนเองในระดับที่สูงเกินจริง

เช่น การมั่นใจว่าจะมีเงินเก็บออมเพียงพอสำหรับการเกษียณแน่นอน ทั้งๆ ที่ไม่เคยคำนวณวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน

อคติค่าเริ่มต้น (default option bias) คือการที่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะพึงพอใจกับสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากกว่าการเปลี่ยนไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทดลองทำหรือที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน

เช่น การเลือกไม่เข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถึงแม้จะมีการสมทบเงินจากนายจ้างก็ตาม เนื่องจากแต่เดิมไม่ได้เข้าร่วม

แรงกดดันจากผู้คนในกลุ่มเดียวกัน (peer pressure) คือ การที่การตัดสินใจของคนได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของคนรอบตัว

โดยผู้คนมักมีพฤติกรรมคล้อยตามผู้คนในกลุ่มสังคมดังกล่าว เพื่อให้เป็นที่ยอมรับหรือรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนในกลุ่ม เช่น การเลือกใช้สินค้าแฟชั่นยี่ห้อเดียวกับคนรอบตัว

จะเห็นได้ว่ามีอคติหลากหลายรูปแบบ ซึ่งส่งผลต่อการเก็บออมเงินได้ทั้งสิ้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: 

 

ดังนั้น การแก้ปัญหาการมีอคติเหล่านี้จะสามารถเพิ่มการออมเงินเพื่อการเกษียณของกลุ่มเป้าหมายได้ มีตัวอย่างกรณีศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอคติค่าเริ่มต้นของพนักงานบริษัทหนึ่ง

ในสหรัฐอเมริกา มีโครงการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อการเกษียณของพนักงานบริษัท ชื่อว่า “401 (k) retirement program” ซึ่งโครงการนี้มีการช่วยสมทบเงินออมจากนายจ้างอีกด้วย แต่มีพนักงานเพียงประมาณครึ่งเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วม

ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าปัญหาเกิดจากการมีอคติค่าเริ่มต้นของพนักงาน ซึ่งค่าเริ่มต้นในที่นี้คือการไม่เข้าร่วมโครงการ จึงมีการทดลองแก้ไขปัญหาด้วยการปรับจากการ “opt in” (เลือกเข้าร่วม) เป็นการ “opt out” (เลือกเอาออก) 

กล่าวคือ แต่เดิมพนักงานบริษัทจะได้เลือกว่าจะเข้าร่วมโครงการหรือไม่ เปลี่ยนมาเป็นการให้พนักงานเข้าร่วมโครงการโดยอัตโนมัติตั้งแต่แรก และหากไม่ต้องการ ก็ให้แจ้งออกจากโครงการ (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย)

ซึ่งพบว่าทำให้มีพนักงานเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 86% ซึ่งนอกจากพนักงานส่วนใหญ่จะไม่ออกจากโครงการแล้ว ส่วนใหญ่ยังไม่มีการปรับลดอัตราการออมอีกด้วย

สำหรับประเทศไทย ขณะนี้ทาง TDRI กำลังศึกษาอคติเชิงพฤติกรรมต่อการเก็บออมเงินของคนทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน และหวังว่าจะนำผลการศึกษามาพัฒนาเครื่องมือแก้ปัญหาการออมเพื่อการเกษียณที่ไม่เพียงพอได้

ซึ่งเครื่องมือเพื่อลดหรือปรับอคติดังกล่าวก็อาจช่วยให้การกำหนดเป้าหมายให้ชีวิตว่าจะเก็บออมให้ได้มากขึ้นไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป

บทความนี้เป็นหนึ่งในผลงานโครงการวิจัย การศึกษาอคติเชิงพฤติกรรมในประชากรไทย เพื่อเสาะหามาตรการที่ได้ผลในการส่งเสริมการวางแผนทางการเงินของประชากรไทยสำหรับสังคมอายุยืน โดยการสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)