คลังชง ครม.อนุมัติเพิ่มเงินสมทบฝั่งรัฐบาลเป็น1.8 พันบาทต่อปี

คลังชง ครม.อนุมัติเพิ่มเงินสมทบฝั่งรัฐบาลเป็น1.8 พันบาทต่อปี

คลังเตรียมเสนอ ครม.ในสัปดาห์หน้าเพิ่มเงินสมทบฝั่งของรัฐบาลให้กับสมาชิก กอช.จาก 1.2 พันบาทต่อปี เป็น 1.8 พันบาทต่อปี ขณะที่ สมาชิกสามารถออมเงินตัวเองได้สูงสุด 3 หมื่นบาทต่อปี จากเดิม 1.32 หมื่นบาทต่อปี เพื่อดึงดูดแรงงานอิสระเข้ามาเป็นสมาชิก กอช.มากขึ้น

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 17 ม.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้ ครม.พิจารณาเพิ่มเงินสมทบในฝั่งรัฐบาลเป็นสูงสุดที่ 1,800 บาทต่อปี จากปัจจุบันให้สมทบสูงสุด 1,200 บาทต่อปี เพื่อดึงดูดแรงงานนอกระบบ หรือแรงงานอิสระที่ไม่อยู่ในระบบของกองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ(กบข.)ให้เข้ามาออมเงินเพื่อรองรับวัยเกษียณกันมากขึ้น

นอกจากนี้ กรณีที่สมาชิก กอช.ต้องการออมเพิ่มด้วยตัวเอง หรือออมเพิ่มมากกว่าที่รัฐกำหนดเป็นขั้นต่ำ ก็สามารถออมเพิ่มได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จากปัจจุบันหลักเกณฑ์ของการออมเงินของ กอช.กำหนดให้สมาชิกต้องออมขั้นต่ำ 50 บาทต่อครั้ง และออมสูงสุดทั้งปีไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยการออมแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องออมเท่ากันทุกเดือน

ทั้งนี้ การกำหนดเพดานการออมต่อปีไม่ให้เกินกว่าที่กำหนดนั้น เนื่องจาก กอช.เป็นกองทุนเดียวในประเทศที่มีการรับประกันผลตอบแทนการลงทุนขั้นต่ำว่าจะต้องไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของ 5 ธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศ ดังนั้น ในกรณีมีผลตอบแทนของ กอช.ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รัฐบาลจะต้องจ่ายชดเชยให้แก่สมาชิก หากไม่กำหนดเพดานการออมสูงสุดต่อปี ในอนาคตรัฐบาลอาจต้องจ่ายชดเชยในอัตราสูงหากผลตอบแทนของ กอช.ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

ส่วนกรณีข้อเสนอเปิดให้ทุกคนสามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช.ได้นั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก จะทำให้แรงงานในระบบ เช่น แรงงานที่เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม ซึ่งได้รับเงินสมทบจากรัฐบาล หากสามารถสมัครเป็นสมาชิก กอช.ด้วยก็จะทำให้ได้รับผลประโยชน์จากรัฐซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงของรัฐบาล

ทั้งนี้ หากสมาชิก กอช.ออมเงินสูงสุดตามเพดานใหม่ที่เสนอว่า ให้ออมสูงสุดได้ 3 หมื่นบาทต่อปีนั้น หากสมาชิกออมในระดับนี้ตั้งแต่อายุ 18 ปี จนถึง 60 ปี จะมีเงินสะสมราว 1.5 ล้านบาท และจะทำได้รับเงินบำนาญตลอดชีวิต เดือนละ 7,500 บาท

การจ่ายเงินสมทบให้สมาชิกโดยรัฐบาลนั้น จะจ่ายตามช่วงอายุ กล่าวคือ หากอายุ 15 -30 ปี จ่ายสมทบให้ 50 % ของเงินที่สมาชิกออมเข้ามา แต่สูงสุดไม่เกิน 600 บาทต่อปี อายุมากกว่า 30 ปีถึง 50 ปี รัฐสมทบให้ 80 % สูงสุดไม่เกิน 960 บาทต่อปี และอายุมากกว่า 50 ปีถึง 60 ปี รัฐสมทบให้ 100 % ของเงินออม แต่สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาท 

 

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์