สรรพากรชี้การเก็บภาษีขายหุ้น ไม่เป็นปัจจัยชี้ขาดการเป็นศูนย์กลางการเงิน

สรรพากรชี้การเก็บภาษีขายหุ้น ไม่เป็นปัจจัยชี้ขาดการเป็นศูนย์กลางการเงิน

สรรพากรชี้การเก็บภาษีขายหุ้นไม่เป็นปัจจัยชี้ขาดการเป็นศูนย์กลางการเงิน โดยหลายประเทศที่จัดเก็บภาษีตัวนี้ ก็ยังเป็นศูนย์กลางการเงิน เช่น ฮ่องกง เกาหลี อังกฤษ และไต้หวัน “อาคม” ชี้เป็นหนึ่งในแผนปฏิรูปรายได้รัฐบาล และเพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบ

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร แถลงยืนยันการเก็บภาษีขายหุ้นไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะเป็นศูนย์กลางการเงิน โดยกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวมีการพูดถึงกันมากว่า เมื่อไทยเก็บภาษีการขายหุ้นแล้ว จะทำให้ไทยไม่สามารถเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจาก ประเทศที่เป็นศูนย์กลางการเงินในปัจจุบันก็มีอัตราภาษี และต้นทุนการซื้อขายหุ้นที่สูงกว่า และใกล้เคียงกับไทย

ทั้งนี้ ฮ่องกงจัดเก็บภาษีที่ 0.13% มาเลเซียจัดเก็บที่ 0.15% เกาหลีใต้จัดเก็บที่ 0.23% ไต้หวัน 0.30% ฟิลิปปินส์จัดเก็บที่ 0.60% อังกฤษจัดเก็บที่ 0.50% และจัดเก็บจาก Capital gain ด้วย

“ฮ่องกง อังกฤษ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ก็มีการเก็บภาษีการขายหุ้น แต่ตลาดหลักทรัพย์ของเศรษฐกิจเหล่านี้ยังเป็นตลาดหลักของโลก โดยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ใน 20 อันดับแรกของโลก ดังนั้น การเก็บภาษีไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดว่า ประเทศใดจะได้เป็นศูนย์กลางการเงิน”

นอกจากนี้ เมื่อเทียบต้นทุนการทำธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ก็จะพบว่า การเก็บภาษีการขายหุ้นในปีแรกเพียงครึ่งหนึ่ง และเก็บเต็มจำนวนในปีต่อๆ ไป ไม่ได้ทำให้ต้นทุนโดยรวมสูงกว่าประเทศอื่น เช่น ฮ่องกง และ มาเลเซีย

ทั้งนี้ ในปีแรกหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ไทยจะเก็บภาษีขายหุ้นในอัตรา 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่นแล้ว และจะจัดเก็บในอัตรา 0.11% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่นแล้วในปีถัดไป โดยภาระต้นทุนจะอยู่ที่ 0.195%ในปีแรก และปีถัดไปจะอยู่ที่ 0.22% ต่ำกว่าฮ่องกงที่อยู่ 0.38% มาเลเซียอยู่ที่ 0.29% และใกล้เคียงกับสิงคโปร์อยู่ที่ 0.19%

ส่วนกรณีที่ได้มีการนำเสนอว่า จะมีการยกเว้นภาษีให้นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริง คือ ไม่ได้ยกเว้นภาษีให้แก่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ดูแลสภาพคล่อง  (Market Maker) กับกองทุนบำนาญ โดย Market Maker คือ บริษัทหลักทรัพย์ (Broker) ที่ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน้าที่ทําการเสนอซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ Market Maker ไม่ใช่นักลงทุนรายใหญ่ตามที่ข่าวได้นำเสนอ ซึ่งการยกเว้นดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และอิตาลี สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าบุคคลธรรมดา นักลงทุนสถาบันที่ไม่ใช่กองทุนบำนาญ หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เอง (ไม่ใช่บัญชี Market Maker) จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีแต่อย่างใด

อธิบดีกรมสรรพากรยังกล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินการจัดเก็บภาษีดังกล่าวในช่วงเวลานี้ ถือว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เหตุผลสำคัญ เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบ เนื่องจาก ภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้นมากว่า 30 ปี ซึ่งเหตุผลที่ต้องการยกเว้น เพื่อให้ตลาดหุ้นมีการพัฒนา แต่ขณะนี้ ตลาดหุ้นมีการพัฒนาอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายเพิ่มกว่า 22 เท่า อยู่ที่กว่า 20 ล้านล้านบาท จากในช่วงปี 2534 ที่อยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท เท่านั้น ดังนั้น ในช่วงนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

“มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นวันนี้ มีขนาดที่โตกว่าจีดีพีของประเทศแล้ว เราจึงมั่นใจว่า การเก็บภาษีในช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะตลาดมีความเข้มแข็ง ดังนั้น ภาษีตัวนี้ จึงควรนำมาใช้ให้เป็นสากล”

ทั้งนี้ การเก็บภาษีหุ้นนั้น มี 2 แนวทาง คือ เก็บจากกำไรจากการซื้อขายหุ้น และเก็บจากการขายหุ้น ซึ่งในบางประเทศก็เก็บแนวทางใดแนวทางหนึ่ง หรือทั้งสองแนวทาง แต่เราเลือกที่จะจัดเก็บแนวทางเดียว คือ เก็บจากการขายหุ้น ซึ่งสะดวกต่อการจัดเก็บ และ มีการจัดเก็บที่ต่ำกว่าแนวทางการเก็บภาษีจากกำไร โดยเราประเมินว่า จะมีรายได้ต่อปีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

“การเก็บภาษีแนวทางนี้ จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักลงทุนไม่มาก และมีอัตราการเสียภาษีต่ำ โดยใน 5 ล้านบัญชี มีบัญชีที่Activeประมาณ 1 ล้านบัญชี ในจำนวนนี้ มี 11% หรือประมาณ 1 แสนคน ที่เข้ามาเทรดหุ้นจำนวน 95%ของมูลค่าการซื้อขาย ส่วนที่เหลือเป็นรายย่อย ดังนั้น จึงกระทบต่อนักลงทุนรายย่อยไม่มาก”

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเก็บภาษีหุ้นอยู่ในแผนการปฏิรูปภาษีของรัฐบาล เพราะปัจจุบันรายได้ต่อจีดีพีของไทยลดลง ซึ่งหลายประเทศก็ได้มีการปรับอัตราภาษีการขายหุ้นเช่นกัน อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์หลักในการเก็บภาษีตัวนี้ ก็เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี เพราะเราได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีตัวนี้มานานแล้ว

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์