“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร”แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นต่างประเทศ

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร”แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นต่างประเทศ

“นิเวศน์"แนะนักลงทุนคัดหุ้นเข้าพอร์ตใน 3 ปีข้างหน้า โดยให้มองภาพกว้างของเศรษฐกิจในประเทศที่จะลงทุนว่ามีโอกาสเติบโตหรือไม่ ราคาหุ้นต้องอยู่ในระดับต่ำ แต่มีโอกาสเติบโตระยะยาว ชี้ตลาดหุ้นไทยถึงจุดอิ่มตัว แนะกระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นในต่างประเทศ

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร”แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นต่างประเทศกรุงเทพธุรกิจ และฐานเศรษฐกิจ และพันธมิตร จัดหลักสูตรWEALTH OF WISDOM หรือ WOW วานนี้ (10 พ.ย. 2565 )ได้รับเกียรติจาก “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า(VI) มาบรรยายในหัวข้อ“คัดหุ้นเข้าพอร์ต ตั้งรับในอีก 3 ปี”แนะลงทุนในประเทศที่แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโต  เน้นลงทุนใน Super stock และกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ

 

ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า  อันดับแรกอยากให้นักลงทุนมองภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในประเทศที่จะลงทุน ซึ่งขณะนี้ ในส่วนเศรษฐกิจของประเทศไทยเองนั้น พบว่า ในระยะ 9-10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยไม่ได้ไปไหนหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่นักลงทุนยังไม่ตระหนัก ดังนั้น ตนจึงอยากแนะนำให้ศึกษาการลงทุนในต่างประเทศควบคู่ไปด้วย โดยเน้นประเทศที่มีโอกาสเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี

 

ตลาดหุ้นไทยเหมือนคนที่ซื้อล็อตเตอรี่ คือ ซื้อกันทั้งปี และก็ขาดทุนมาตลอด แต่ก็มีคนได้กำไรบ้าง แต่ไม่เยอะ บางทีเราเห็นว่า ไทยดีที่สุด แต่ตอนนี้ โลกกำลังเปลี่ยน ถ้าติดว่าลงทุนแต่ในประเทศไทย ขณะที่เราผ่านมานาน ก็พบว่า 30 ปี ไม่ได้อะไร ฉะนั้น เราต้องเลือกและวิเคราะห์ ถ้าประเทศไหนมีความเหนื่อยยาก 10 ไม่ไปไหน ก็ไม่น่าลงทุน”

ดังนั้น นักลงทุนหาหุ้นเข้าพอร์ตแบบที่เรียกว่า Super stock ซึ่งหมายถึง คือ หุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้ดีในระยะยาว ราคาไม่แพง และเติบโตตามเมกกะเทรนด์ ในทางปฏิบัติ คือ ต้องหาหุ้นที่เรียกว่า เป็นผู้ชนะในอนาคต กล่าวคือ ไม่ลงทุนในธุรกิจที่โตเร็ว หรือธุรกิจที่ดึงดูดคนมาลงทุนเยอะๆ แต่สุดท้ายแล้วจะเหลือผู้ชนะเพียงแค่ 1 หรือ 2 ราย วิธีการเลือก คือ ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ดี เช่น ทำไมบริษัทนี้จะชนะ ประเทศนี้จะไปได้ เป็นต้น

เราต้องหาผู้ชนะให้ได้ อุตสาหกรรมที่โตเร็วไปไม่ดี เพราะดึงดูดคนมาเยอะ แต่ไม่รู้ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในอนาคต เช่น ธุรกิจ กัญชา มีเข้ามาเยอะ แต่สุดท้ายอาจจะเหลือ 1 หรือ 2 ราย เป็นผู้ชนะ วิธีการคัดเลือก คือ ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ว่า ทำไมบริษัทนี้จึงจะชนะ ประเทศนี้ จะไปได้”

  ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า  ถ้าเราวิเคราะห์ได้ว่า ธุรกิจจะไปได้ในอนาคต เมื่อราคาหุ้นตกลงให้ซื้อไว้ และถือให้ยาว ไม่ลงทุนแบบซื้อขายรายวัน ให้หาซื้อซัก 6-7 หุ้น ไว้ในพอร์ตก็พอ  ซึ่งหุ้นที่ผมมีในพอร์ตส่วนใหญ่จะมีการเติบโตมากกว่า 10 เท่า หรือมากกว่านั้น ถ้ามีบางตัวเน่า ก็ชั่งหัวมัน ถ้าหุ้นดีจริง แม้ราคาจะตกลงบ้าง แต่ราคาก็จะขยับขึ้นในที่สุด

สำหรับหุ้นไทยที่อยู่ในพอร์ตของผมนั้น  นิ่งมาหลายปี เพราะเมกะเทรนด์มันหมดไปแล้ว ไม่มีของใหม่ หุ้นไฮเทคดิจิทัลแทบไม่มี หรือ มีไม่สามารถขยายกิจการให้ใหญ่ได้ ดังนั้น ตนจึงย้ายการลงทุนไปยังประเทศอื่น โดยสาเหตุที่หุ้นในประเทศไทยไม่เติบโต เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้น้อย หรือ ระดับ 2-3% เพราะในหลักการของเศรษฐกิจที่ดี ต้องมีคนเกิดใหม่มากขึ้น ขณะที่ ไทยเองได้เข้าสู่สังคมสูงวัยแล้ว นอกจากนี้ ต้องมีคนเก่งและมีประสิทธิภาพ และระบบการเมืองที่เอื้อให้คนอยากทำงาน ซึ่งทั้งสามปัจจัยนี้ ประเทศไทยด้อยหมด

ผมเห็นว่า ประเทศไทยเองใกล้อิ่มตัวมาก ถามว่า ธุรกิจอะไรโตเร็ว ผมว่า มีน้อย ถามว่า ตลาดไหนที่มีศักยภาพเศรษฐกิจใน 3 ข้อดังกล่าว ผมมองไปที่ เวียดนาม ซึ่งประชากรเกิดใหม่มีจำนวนมาก ขณะนี้ มีเกินกว่า 100 ล้านคนแล้ว ประชากรมีไอคิวสูงเฉลี่ยเกิน 100 และระบบการปกครองแบบทุนนิยม ทำให้เศรษฐกิจเขาพัฒนาได้เร็ว ซึ่งผมคาดว่า จะเติบโตได้เร็วอีกอย่างน้อย 10-20 ปี”

 อย่างไรก็ดี คำแนะนำให้มองการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ได้หมายความว่า ในพอร์ตจะต้องมีหุ้นในต่างประเทศทั้งหมด แต่ต้องกระจายการลงทุน ซึ่งรวมถึง การเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน เพราะเรายังใช้เงินบาท ขณะเดียวกัน การลงทุนในต่างประเทศ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของกรณีการเกิดวิกฤตบางอย่างในประเทศนั้นๆ ทำให้อาจมีความเสี่ยงในการลงทุนเช่นกัน