‘ซิลเวอร์เกต-เอสวีบี’ ล้ม กดดันคริปโทฯ

‘ซิลเวอร์เกต-เอสวีบี’ ล้ม กดดันคริปโทฯ

การปิดสองธนาคารดังอย่างซิลเวอร์เกตและเอสวีบี ส่งผลให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีปั่นป่วน โทเคนชั้นนำอย่างบิตคอยน์และอีเทอร์ราคาร่วงสัปดาห์ละเกือบ 10% เมื่อความกังวลเพิ่มขึ้นทุกขณะว่าอุตสาหกรรมจะขาดสภาพคล่อง

เว็บไซต์ฟอร์บสรายงานว่า เงินฝากธนาคารที่เป็นเงินทุนหนุนคริปโทเคอร์เรนซีในตลาดสหรัฐกำลังลดลง นักลงทุน “รอดูสถานการณ์” ขณะที่บริษัทคริปโทฯ กำลังหาธนาคารนอกสหรัฐมาเป็นพันธมิตร

ตลาดคริปโทฯ มูลค่า 9.64 แสนล้านดอลลาร์ตามข้อมูลของคอยน์เกคโค และ 9.31 แสนล้านดอลลาร์ตามข้อมูลของคอยน์มาร์เก็ตแคป ได้รับผลกระทบจากการปิดธนาคารซิลเวอร์เกตที่เน้นปล่อยกู้ให้คริปโทฯ และซิลิคอนวัลเลย์แบงก์ (เอสวีบี) ส่งผลมูลค่าตลาดดิ่งลงจาก 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือน ก.พ. และเกือบ 3 ล้านล้านดอลลาร์ช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย.ปี 2564 ก่อนชะลอตัวอย่างที่เรียกกันว่าเกิดฤดูหนาวคริปโทฯ

จอย หยาง หัวหน้าฝ่ายจัดการผลิตภัณฑ์ดัชนี บริษัทวิจัยคริปโท “มาร์เก็ตเวคเตอร์” กล่าวว่าแรงกดดันจากเศรษฐกิจมหภาคกำลังผลักดันให้ราคาคริปโทฯ และหุ้นที่เกี่ยวข้องลดลงด้วย เมื่อนักลงทุนไม่อยากเผชิญความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

“เมื่อนักลงทุนและนักค้าเชื่อมั่นในความเคลื่อนไหวของเฟดและแนวโน้มตลาดมากขึ้น เราคาดว่าจะได้เห็นการกลับมาโฟกัสที่พื้นฐานและการประเมินมูลค่าการเติบโต” หยางให้ความเห็น
 

ฮานี รัชวัน ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัทลงทุนคริปโทฯ “21Shares” กล่าวว่าข้อพิจารณาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธนาคารทั่ววงการ ดัชนีธนาคารแนสแดค KBW ลดลง 16% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารเฉพาะกลุ่มอย่างซิลเวอร์เกตและเอสวีบี ที่เน้นลูกค้าคริปโทฯและเทคโนโลยี มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด

“เมื่ออุตสาหกรรมพื้นฐานมีปัญหา เห็นได้ชัดว่าจะเกิดผลสะท้อนกลับที่เกินจริง”

ทั้งนี้ ธนาคารซิลเวอร์เกต ประกาศเมื่อวันพุธ (8 มี.ค.) ว่าจะยุติการดำเนินงานและขายสินทรัพย์ของธนาคารเพื่อชำระหนี้ หนึ่งสัปดาห์หลังจากธนาคารไม่ได้ส่งรายงานการเงินประจำปี เป็นเหตุให้ลูกค้าไม่พอใจและพากันแห่ถอนเงิน

ส่วนเอสวีบีที่นิยมปล่อยกู้ให้กับสตาร์ตอัพและบริษัทร่วมลงทุนในซิลิคอนวัลเลย์ เช่น Andressen Horowitz และ Sequoia Capital ถูกกระทรวงคุ้มครองการเงินแห่งแคลิฟอร์เนียสั่งปิดเมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.)หลังเอสวีบีขายตราสารหนี้ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ส่งผลราคาหุ้นดิ่ง 64% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาด จนต้องระงับการซื้อขายก่อนเปิดตลาดปกติโดยที่หุ้นเอสวีบียังไม่ได้กลับมาซื้อขายครั้งใหม่
 

“เอสวีบีเป็นตัวชี้วัดที่ดีว่า ปัญหาไม่จำเป็นต้องเกิดจากคริปโทฯ หรอก ธนาคารดั้งเดิมที่เสี่ยงกับตราสารหนี้ระยะยาวมากเกินไปก็เป็นปัญหาได้ เมื่อได้รับผลกระทบหนักจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย” โคเนอร์ ไรเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย Kaiko ในปารีสให้ความเห็น

ทั้งนี้ เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่เคยลดลงเหลือศูนย์เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 นโยบายการเงินผ่อนคลายที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเงินเฟ้อจนเฟดต้องหาทางรับมือ แม้จะเสี่ยงจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ตาม นั่นอาจเกิดปัญหาเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง แต่อุตสาหกรรมคริปโทฯ ก็รับมือกับผลพวงของการล้มละลายในปีที่แล้วและการต่อต้านจากวอชิงตันที่มองว่าวงการคริปโทฯ ไม่ปกป้องนักลงทุน

ซิลเวอร์เกตซึ่งเชี่ยวชาญด้านการโอนเงินทุนเข้าออกให้บริษัทคริปโทฯ คือตัวจุดประกาย ธนาคารแก้ปัญหาเงินฝากไหลออกด้วยการขายตราสารหนี้ได้น้อยกว่าเงินที่จ่ายออกไป นั่นทำให้ลูกค้ารายใหญ่พากันถอนเงินออก และการตัดสินใจปิดซิลเวอร์เกตดูเหมือนเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับเอสวีบีที่ประกาศขายหุ้นครั้งใหญ่เพื่อเสริมสภาพคล่อง

“ตอนนี้ธนาคารไม่มีแรงจูงใจให้รับเงินฝากจากบริษัทคริปโทฯ เนื่องจากมีความเสี่ยงแถมมาด้วย” ไรเดอร์กล่าวต่อ

เมื่อปัญหาภาคธนาคารส่งผลต่อคริปโทเคอร์เรนซี ราคาบิตคอยน์จึงร่วงลงต่ำหลุด 20,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ม.ค.ราคาในช่วงดึกวันศุกร์อยู่ที่ 19,998 ดอลลาร์ อีเทอร์ลดลง 1% อยู่ที่ 1,420 ดอลลาร์

สิ่งที่มีส่วนกดดันตลาดดิจิทัลเช่นกันคือข้อเสนอของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อวันพฤหัสบดี (9 มี.ค.) เก็บภาษีการขุดคริปโทฯ 30% แต่ส่งผลน้อยกว่าข่าวเศรษฐกิจมหภาค

“ปีนี้ยังอีกยาว ยังจะมีความเสียหายเพิ่มเติมอีกจากเศรษฐกิจและการเมืองในกว้างที่จะส่งผลต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างคริปโทเคอร์เรนซีต่อไป” รัชวันกล่าวโดยสรุป