เมตาเวิร์ส จำเป็นต้องมี Cryptocurrency กับ NFT หรือไม่

เมตาเวิร์ส จำเป็นต้องมี Cryptocurrency กับ NFT หรือไม่

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กระแสของเมตาเวิร์สซบเซาลงไปในช่วงที่ผ่านมาก็คือราคา Land ในเมตาเวิร์สตลอดจนราคา NFT และเหรียญในกลุ่มของเมตาเวิร์สปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดกว่า 80% และปริมาณการซื้อขายก็ลดลงไปอย่างมากโดยเฉพาะใน OpenSea ที่ลดลงไปกว่า 99%

ประกอบกับหนึ่งในกลุ่มคนที่ผลักดันกระแสของเมตาเวิร์สในช่วงแรกๆก็คือชุมชนของนักลงทุน Cryptocurrency พอตลาดคริปโตปรับตัวลดลงจึงส่งผลกระทบไปต่อความนิยมในเมตาเวิร์สไปด้วย

การที่ความผันผวนของตลาดคริปโตมีผลต่อเมตาเวิร์ส ทำให้เกิดคำถามว่า เมตาเวิร์สจำเป็นที่จะต้องมี Cryptocurrency และ NFT หรือไม่?

คำตอบคือ..ไม่ต้องมีก็ได้ เพียงแต่อาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Web3.0 แบบสมบูรณ์

ทั้งนี้ เมตาเวิร์ส คือพัฒนาการอีกขั้นของ Web2.0 ในปัจจุบัน นั่นคือ โซเชียลมีเดีย จากเดิมที่เราสิ่งสามารถเสพคอนเทนท์ได้เฉพาะภาพและเสียงแต่เมตาเวิร์สจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการรับรู้คอนเทนท์ต่างๆได้ในหลากหลายมิติขึ้นโดยเฉพาะการสัมผัสรวมถึงภาพที่มีความสมจริงมากขึ้น

ในอีกมุมหนึ่ง Web2.0 ยังมี Pain Point สำคัญคือผู้ที่สร้างคอนเทนท์หรือผู้ที่เป็นเจ้าของ Account ในแพลตฟอร์มต่างๆไม่มีโอกาสที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินของตัวเองที่สร้างขึ้นในโลกออนไลน์แม้กระทั่งการที่จะได้แสดงตัวตนที่แท้จริง

เป็นเพราะสิ่งต่างๆที่เราได้สร้างและนำไปไว้อยู่ในแพลตฟอร์ม Web2.0 ยังอยู่ภายใต้คอนเซบท์ของ Centralized หรือการรวมศูนย์ ทันทีที่เราได้อัปโหลดเข้าไปในแพลตฟอร์มสิ่งเหล่านั้นจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแต่แพลตฟอร์มจะกลายเป็นเจ้าของแทน

ถ้าหากในอนาคตแพลตฟอร์มดังกล่าวปิดตัวไปเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เป็นเจ้าจองทรัพย์สินที่เราสร้างขึ้นในโลกดิจิทัลอีกต่อไปหรืออาจจะถูกแทรกแซงจากเจ้าของแพลตฟอร์มอย่างเช่นการปิดกั้นการเข้าถึง การถูกเซ็นเซอร์ตลอดจนการถูกลบแอคเคานท์

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของ Fake News,Fake Content ตลอดจน Fake Account ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ที่ไม่สามารถจะพิสูจน์ความจริงได้ ทั้งหมดนี้คือ Paint Point ที่เกิดขึ้นในยุคของ Web2.0

แต่ถ้าหากโลกอินเทอร์เนตเข้าสู่ยุค Web3.0 ซึ่งอยู่ภายใต้คอนเซบท์ของ Ownership Base เราสามารถที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่างๆในโลกดิจิทัลได้ด้วยตัวเองและสามารถที่จะเคลื่อนย้ายถ่ายโอนซื้อขายกันได้ด้วยเทคโนโลยี NFT ทำให้เราสามารถสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกที่เราเป็นเจ้าของและผู้สร้างขึ้นมาได้

ลองนึกภาพการใช้ชีวิตในเมตาเวิร์สที่หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องของ Fake Account ได้ อาจจะทำให้เกิดความสับสนในการใช้ชีวิตในนั้นว่าใครคือตัวจริงกันแน่ แต่ถ้าผู้ใช้งานสร้าง Avatar ของตัวเองในรูปแบบ NFT ก็จะสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าใครเป็นใคร

รวมถึงคอนเทนท์ต่างๆที่สร้างขึ้นก็จะสามารถแปลงให้อยู่ในรูปแบบของ NFT ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างเมตาเวิร์สแต่ละแห่งได้เพราะทั้งหมดจะอยู่ภายใต้เทคโนโลยีเดียวกันนั่นคือบล็อกเชน

ขณะที่ Cryptocurrency ก็จะเข้ามาทำให้การใช้ชีวิตในเมตาเวิร์สมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น สามารถใช้เป็นเสมือนเงินตราที่สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้จริง ถ้าหากสามารถออกแบบ Tokenomic ได้อย่างเหมาะสม

สรุปคือเมตาเวิร์สสามารถไปต่อได้แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยี NFT และ Cryptocurrency แต่ก็จะขาดคอนเซบท์ของการเป็น Web3.0 หรืออินเทอร์เนตในยุคหน้าไป ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็น Web2.0 ที่ภาพสวยขึ้นเท่านั้นแต่ก็ยังมี Pain Point เดิมอยู่

แม้ว่าการมี NFT และ Cryptocurrency ซึ่งมีความผันผวนของราคาจะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกในโลกเมตาเวิร์ส แต่แท้จริงแล้วที่ใดมีระบบเศรษฐกิจที่นั่นย่อมมีความผันผวนของราคาเสมอซึ่งหากชุมชนเติบโตขึ้น ตลาดมีความเสถียรมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจภายในโลกของเมตาเวิร์สก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต

การที่ราคา Land และ NFT ปรับตัวลงมาในระดับ 80% แต่ถ้าแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สนั้นๆยังคงเดินหน้าอยู่ ไม่ได้ปิดตัวไปก่อน เชื่อว่าสุดท้ายแล้วระบบเศรษฐกิจก็จะเข้าสู่ภาวะดุลยภาพและราคามีความสมเหตุสมผลได้ในที่สุด

Cryptocurrency และ NFT จึงยังควรต้องเป็นส่วนหนึ่งของเมตาเวิร์สต่อไป