วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Bank Sector NIM ลดลงอย่างมาก แต่ยังดีที่มีกำไรจากการลงทุนมาช่วยชดเชย

กำไรสุทธิใน 1Q68 เพิ่มขึ้น 13% QoQ และ 6% YoY เพราะกำไรจากการลงทุน
กำไรสุทธิรวมของธนาคาร 7 แห่งเพิ่มขึ้น 13% QoQ และ 6% YoY โดยผลประกอบการของธนาคารใหญ่
ที่แข็งแกร่งที่สุด คือ BBL รองลงมาคือ SCB, KTB และ KBANK ทั้งนี้ กำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่าง
มาก และ เกินพอที่จะชดเชย NII ที่ลดลงจากการที่ NIM ต่ำกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่ รายได้ค่าธรรมเนียม
เติบโตใกล้ศูนย์และ แนวโน้มคชจ.สำรองฯ (credit cost) โดยรวมยังไม่ลดลงยกเว้น KBANK
NIM ลดลงมากกว่าที่คาดเอาไว้
NIM ของธนาคารทุกแห่งลดลงอย่างมากถึง 14bps QoQ และ 24bps YoY โดย NIM ของ BBL ลดลงเป็น
ครั้งแรก 25bps QoQ และ 24bps YoY เพราะมีสินเชื่อ TDR ที่กลับมาเป็น NPL (relapsed NPL) ก้อนใหญ่
ทำให้ธนาคารต้องกลับรายการรายได้ดอกเบี้ยที่เคยบันทึกไว้ และ NIM ของกิจการธนาคารในอินโดนีเซียลดลง ในขณะที่ NIM ของ KTB, SCB ก็ลดลงอย่างมากเพราะยีลด์สินเชื่อถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ในขณะที่ต้นทุนการระดมเงินลดลงเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ NIM ของ KBANK ลดลงช้ากว่าธนาคารอื่นเพราะมีสัดส่วนสินเชื่อที่คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่สูงกว่าธนาคารอื่น ๆ ส่วน NIM ของ TTB, TISCO และ KKP ยังคงลดลงในอัตราสม่ำเสมอ ทั้งนี้ จากแรงกดดันทางด้าน margin ที่เกิดกับทุกธนาคาร ทำให้ NIM ของธนาคารส่วน
ใหญ่อยู่บริเวณขอบล่างของเป้าเต็มปีของแต่ละธนาคาร และ เนื่องจากคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีก
สองรอบ NIM ของธนาคารต่าง ๆ จึงน่าจะต่ำกว่าเป้าที่วางไว้
มีบันทึกกำไรจากการลงทุนในตราสารหนี้
ถึงแม้ว่าการลดดอกเบี้ยกดดันให้ NIM ลดลงใน 1Q68 แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้ธนาคารมีกำไรจากการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น โดย BBL และ KBANK บันทึกกำไรจากการลงทุนสูงที่สุด ซึ่งยังมากกว่า NII ที่ลดลงจาก NIM ที่ลดลง ซึ่งเป็นสถานการณ์คล้าย ๆ กันกับ KTB, SCB และ TTB ดังนั้น กำไรจากการลงทุนจึงคิดเป็นประมาณ 30% ของกำไรสุทธิของธนาคารใหญ่ ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลงอีกสองครั้ง
ดังนั้น กำไรจากการลงทุนจึงจะเป็นรายได้หลักที่มาช่วยหนุนผลประกอบการในภาวะที่ NIM ถูกกดดัน อย่างไรก็ตาม ขนาดของกำไรจากการลงทุนอาจจะผันผวนมากขึ้น และ มีความซับซ้อนมากขึ้นเนื่องจาก GDP ที่แผ่วลงอาจจะเพิ่มแรงกดดันต่อ NPL เกิดใหม่ และ credit cost
คุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ใน 1Q68 แต่จะท้าทายมากขึ้นในไตรมาสหน้า
แนวโน้ม NPL มีทั้งเพิ่มขึ้น/ลดลงในรายธนาคารโดย NPL ของ KBANK ลดลงเพราะ NPL เกิดใหม่ลดลง
ในขณะ NPL ของ BBL เพิ่มขึ้นจากหนี้ปรับโครงสร้างไหลกลับเป็น NPL ส่วนNPL ของสินเชื่อธุรกิจที่ลดลงช่วยชดเชย NPL ใหม่จากสินเชื่อรายย่อยของ SCB และ KTB ทั้งนี้ ธนาคารทุกแห่งยกเว้น KBANK ตั้งสำรองฯอยู่ในช่วงขอบบนของเป้าหมาย นอกจากนี้การที่ธนาคารหลายแห่งปรับลดประมาณการ GDP ลงอาจจะทำให้ไม่สามารถลด credit cost ลงได้ตามเป้า ซึ่งในภาวะดอกเบี้ยขาลง ธนาคารที่ margin อ่อนไหวอย่าง BBL จะถูกกดดันหนักกว่าธนาคารอื่น ๆ
Risks
NPLs เพิ่มขึ้น และ ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง, ผลขาดทุน FVTPL จากการลงทุน