วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในระยะสั้น

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในระยะสั้น

สหรัฐฯ ประกาศ Tariff ของไทยสูงกว่าคาด สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีการค้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ประเทศต่างๆทั่วโลก โดยมี base tariff ที่ 10% และสูงสุดถึง 49%

โดย 4 ประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงสุดคือ กัมพูชา (49%), ลาว (48%), มาดากัสการ์ (47%), เวียดนาม (44%) โดยกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญ มีอัตราภาษีดังนี้ จีน (34%), ไต้หวัน (32%), อินเดีย (26%), เกาหลีใต้ (25%), ญี่ปุ่น (24%), สหภาพยุโรป (20%), อังกฤษ (10%) // สำหรับจีน เมื่อรวมกับการเรียกเก็บภาษีก่อนหน้า จะทำให้อัตราภาษีนำเข้าขึ้นไปอยู่ที่ 54% สำหรับประเทศไทย อัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บอยู่ที่ 36% อยู่ในระดับปานกลาง เทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา (49%), ลาว (48%), เวียดนาม (46%), เมียนมา (44%), ไทย (36%), อินโดนีเซีย (32%), มาเลเซีย (24%), ฟิลิปปินส์ (17%), สิงคโปร์ (10%) อัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บที่ 36% ถือว่าสูง แปลว่าสหรัฐฯ ตั้งเป้าหมายให้ไทยเลิกหรือปลดมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งจะกระทบกับ 1) สินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์นม เนื้อวัว เนื้อหมู 2) การเปิดเสรีบริการทางการเงิน และโทรคมนาคม 3) การเปิดมากขึ้นเกี่ยวกับสัดส่วนการลงทุนต่างชาติในบางอุตสาหกรรม ประเมินอาจทำให้การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง 20-30% ซึ่งจะกระทบให้ GDP ปี 2568 ของไทยลดลงเหลือ 2.00-2.30% (จากเดิม 2.8%) และอาจส่งผลต่อการบริโภค หรือจ้างงานที่ลดลง หากภาคการผลิตต้องปรับลดกำลังการผลิต คาดกระทบต่อ กลุ่มธนาคาร (สินเชื่อสัมพันธ์กับ GDP) และโรงไฟฟ้า SPP โดยเฉพาะ GPSC, BGRIM

เน้นสะสมหุ้นอิงปัจจัยในประเทศ: เราประเมินวันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลดลง หลัง Donald Trump ประกาศขึนภาษีการค้าไทยสูงกว่าคาด โดยเราประเมิน Downside ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,000-1,100 จุด อิงจาก Earning Yield Gap Model หากตลาดหุ้นไทยปรับลดลงไปถึงระดับดังกล่าว เรามองเป็นโอกาสสะสมหุ้นอิงปัจจัยในประเทศที่มีพื้นฐานดี และมีเงินปันผลรองรับ อาทิ ADVANC, CPALL, GULF, และ STECON เป็นต้น 
 

 

 

ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนในช่วงสั้นเนื่องจากกระแสเงินได้เปลี่ยนไปพักในกลุ่มอื่นๆ เราชอบกลุ่มค้าปลีก พลังงานต้นน้ำ และ สื่อสาร 

แนวรับ: 1,150 แนวต้าน : 1,175 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    ADVANC (292) : EBITDA margin ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคากลางประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่มีโอกาสปรับลดลง ตัดขาดทุน 275 บาท
•    RATCH (34.0): ซื้อขายเพียง 7x PER และให้ผลตอบแทนปันผล 6% ราคาหุ้นได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทนพันธบัตร ตัดขาดทุน 25.00 บาท
•    HMPRO (9.30) : ได้ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนที่ 6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้น 6.5% ตัดขาดทุน 8.10 บาท
•    BJC (26) : คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดแย่สุดและเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัว ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มบวกจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง ตัดขาดทุน 21.50 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ  

-    ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% 
-    สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับตัวลง
-    ADP เผยจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ +155,000 เดือนมี.ค. สูงกว่าคาดการณ์
-    ฟิทช์ เผย หนี้ครัวเรือนไทย สูง กดดันธุรกิจสินเชื่ออุปโภคบริโภค
-    คาด แผ่นดินไหว กระทบความเชื่อมั่น ภาคอสังหาฯ นาน 3 เดือน
-    EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น สวนทางคาดการณ์
-    คลังเร่งฟื้นความเชื่อมั่นอสังหาฯ ดึงยอดจอง-โอนกลับสู่ปกติ

 

-    เอ็มเค เรสโตรองต์ ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ “คุ้มคุ้ม” ทำธุรกิจร้านอาหาร-เครื่องดื่ม
-    Visa ยื่นเสนอ 100 ล้านดอลลาร์ หวังเป็นพันธมิตรบัตรเครดิต
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : AWC แนะนำ ซื้อ เป้า 3.30 บาท/ TRUE แนะนำ ซื้อ เป้า 14.50 บาท

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

3 เม.ย. – US Exports, US ISM Service PMI, US S&P Global PMI, Jobless claims
4 เม.ย. – US Non Farm Payrolls, Unemployment Rate, TH CPI
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ประเมินตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในระยะสั้น