วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพรวมบรรยากาศลงทุนชะลอตัวรอดูการประกาศมาตรการภาษีสหรัฐฯ

เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยสูงขึ้น ภาพรวมการลงทุนเริ่มสะท้อนความเสี่ยงเชิงลบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเนื่องจากมาตรการภาษีและการค้าสหรัฐฯ
ซึ่งจะเห็นได้จากการปรับลดลงของหุ้นสหรัฐฯ, การปรับลดลงของผลตอบแทนพันธบัตร และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เริ่มมีการปรับลดเป้าหมายดัชนี S&P500 ลง (Goldman sach ปรับลดเหลือ 5,700 จาก 6,200 / Yardeni ปรับลดเหลือ 6,000 จาก 6,400 จุด) แม้ปัจจัยข้างต้นอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น แต่คาดการณ์ปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกอยู่ที่การประชุม 18 มิ.ย.68 ทำให้ในระยะสั้น ตลาดอาจเผชิญความผันผวนในระยะสั้นก่อนได้
มาตรการภาษีใหม่ ในวันที่ 2 เม.ย. มีความเสี่ยงต่อการปรับ GDP ไทยลงในระดับ 0.5%: ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นการประกาศอัตราภาษีเป็นรายประเทศ ขึ้นกับตัวเลขการเกินดุลที่มีต่อสหรัฐฯ รวมถึงส่วนต่างการเรียกเก็บภาษีของประเทศนั้นๆ เทียบกับอัตราที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ ทั้งนี้จากการที่ไทยเกินดุลสหรัฐฯ เป็นลำดับที่ 11 และมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บในหลายอุตสาหกรรม ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากการประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าในวันที่ 2 เม.ย.นี้ แม้ปัจจุบัน Bloomberg consensus จะประเมิน GDP ไทยปี 2568 ที่ 2.8% แต่คาดการณ์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาของหลายสำนักอยู่ที่ 2.3-2.6% ทำให้เรามองถึงความเสี่ยงที่ GDP ไทยอาจปรับลดลง 0.5% สู่ระดับ 2.3%+/- หากมีการเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ดังนั้นภาพรวมการเลือกหุ้นในระยะสั้น อาจต้องเน้น defensive ที่มีความเสี่ยงจากการปรับลดประมาณการต่ำ
มอง Downside ของ SET จำกัดในช่วง 1,120-1,141 จุด อิง market cap ของ SET Index ที่ 0.53-0.54 ของ Money Supply ซึ่งเป็น bottom สำคัญของตลาด 4 ครั้งในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา กลุ่มที่น่าสนใจคือหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไรเชิงบวก หรือไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ อาทิ BTG, TFG, ADVANC, RATCH, STECON
ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนในช่วงสั้นเนื่องจากกระแสเงินได้เปลี่ยนไปพักในกลุ่มอื่นๆ เราชอบกลุ่มค้าปลีก พลังงานต้นน้ำ และ สื่อสาร
แนวรับ: 1,150 แนวต้าน : 1,175 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• PTTEP (125.0) : เก็งกำไรจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวบวก มีโอกาสที่ earnings consensus มีโอกาสปรับเพิ่ม เราคาดว่า consensus จะใช้สมมติฐาน ASP ต่ำเกินไป ตัดขาดทุน 113.0 บาท
• RATCH (34.0): ซื้อขายเพียง 7x PER และให้ผลตอบแทนปันผล 6% ราคาหุ้นได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทนพันธบัตร ตัดขาดทุน 25.00 บาท
• HMPRO (9.30) : ได้ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนที่ 6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้น 6.5% ตัดขาดทุน 8.10 บาท
• MEB (23.5) : คาดกำไรปกติจะจะเติบโต 16% yoy ซื้อ/ขาย Forward P/E ปี 68 ที่ 13x ไม่แพงเมื่อเทียบกับ ROE ระดับ 30% ตัดขาดทุน 21.9 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- “ทรัมป์” ขู่เก็บตอบโต้ 25-50% ผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย หากปูตินขัดขวางยุติสงครามยูเครน
- เอเชีย เตรียมรับมือ ภาษีตอบโต้ทรัมป์
- ธปท. ชี้ เศรษฐกิจไทย ก.พ. ชะลอตัว ท่องเที่ยวลดลง ภาคผลิตยังไม่ฟื้น
- คลัง มอง แผ่นดินไหวกระทบเศรษฐกิจไม่มาก
- กรุงเทพประกันภัย ยันตึกสตง.ถล่มไม่กระทบฐานะทางการเงินซื้อประกันภัยต่อมากกว่า 95%
- ITD เผย ตึก สตง. ที่ถล่ม ทำประกันภัยเต็มมูลค่างานตามสัญญา 2,136 ล้านบาท
- บทวิเคราะห์วันนี้ : กลุ่มธนาคาร คงน้ำหนัก MARKET WEIGHT โดย Top Picks คือ KBANK, KTB และ SCB
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
1 เม.ย. – TH S&P Global PMI, EU Inflation, JOLTs Job Openings







