วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ยังผันผวน

วันพุธที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้น ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ จากความคาดหวังสหรัฐจะยืดหยุ่นการใช้มาตรการภาษีศุลกากร
ประกอบกับนักลงทุนคลายความกังวลสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ หลังสภามีมติโหวตไว้ใจนายกรัฐมนตรี มีแรงซื้อนำโดยหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีก ขณะที่มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มไอซีที และโรงพยาบาล เป็นปัจจัยกดดันดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,190.36 จุด +5.43 จุด +0.46% มูลค่าการซื้อขาย 26,578.82 ลบ. Program Trading -604.18 ลบ. ต่างชาติ -182.22 ลบ. TFEX +13,806 สัญญา ตราสารหนี้ -5,306.37 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.94% ปิดที่ 69.65 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้ปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัวหลังจากสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับประเทศที่ซื้อน้ำมันและก๊าซจากเวเนซุเอลา
+ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนก.พ. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 1.0% หลังจากพุ่งขึ้น 3.3% ในเดือนม.ค.
+ ทำเนียบเครมลินของรัสเซียออกแถลงการณ์ยืนยันว่า รัสเซียเห็นพ้องกับสหรัฐฯ ในการกำหนดให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงงานเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการยกเว้นจากการตกเป็นเป้าหมายโจมตี ภายใต้ข้อตกลงยุติการโจมตีด้านพลังงานเป็นเวลา 30 วันระหว่างรัสเซียและยูเครน
+ ที่ประชุมสภามีมติไว้วางใจให้ น.ส.แพทองธาร ดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป ด้วยคะแนนเสียงไว้วางใจ 319 เสียง ไม่ไว้วางใจ 162 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง จากผู้ลงมติ 488 เสียง
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 132.71 จุด หรือ -0.31% เนื่องจากนักลงทุน วิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25%
- สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ ออกรายงานเตือนว่า ความแข็งแกร่งด้านการคลังของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลง อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น และความสามารถในการชำระหนี้ลดน้อยลง
- สหรัฐอเมริกาประกาศเพิ่มบริษัทของจีนกว่า 50 แห่งเข้าในบัญชีดำ จำกัดการส่งออก หวังลดความสามารถของจีนในการพัฒนาการประมวลผลประสิทธิภาพสูง เทคโนโลยีควอนตัม และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขั้นสูง ตลอดจนอาวุธไฮเปอร์โซนิก
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว -1.8% ใน 1Q68
- สำนักงบประมาณสภาคองเกรส (CBO) เตือนว่า รัฐบาลสหรัฐจะขาดแคลนงบประมาณในการชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในเดือนส.ค. หรือก.ย.นี้ หากสมาชิกสภาคองเกรสไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้สหรัฐ
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าของสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยในประเทศมีประเด็นบวกจากที่ประชุมสภามีมติไว้วางใจให้ น.ส.แพทองธาร ดำรงตำแหน่งนายกฯต่อไป มองกรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,180-1,200 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก กนง. ลดดอกเบี้ย : AP LH SIRI SC SPALI QH MTC TIDLOR
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO
• กรณี ธปท.ผ่อนปรนมาตรการ LTV แนะนา top pick หุ้นที่อยู่อาศัย ได้แก่ AP LH SIRI SC SPALI QH
หุ้นรายงานพิเศษ
LH "ซื้อ" ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 5.15 บาท
"เปิดตัวโรงแรม Grande Centre Point ลุมพินี ลำดับที่ 8"
•ปี 67 มีกำไร 5,491 ล้านบาท +27%YoY เนื่องจากรายได้รวม 25,221 ล้านบาท ลดลง 6%YoY อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 25% จากระดับ 28% ในปี 66 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้น เป็น 25.9% จาก 21.6% ในปี 66 net D/E 1.31 เท่าลดลงจาก 1.34 เท่า ณ ปลายงวด 3Q67 แต่ สูงกว่าระดับ 1.08 เท่า ณ ปลายปี 66 ปลายปี 67 มี backlog จำนวน 9,255 ล้านบาท
•สำหรับปี 68 มีแผนเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการมูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท แม้ลดลงกว่าครึ่งจากปีก่อน แต่ราคาเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 23.8 จาก 14.8 ล้านบาทต่อหน่วยในปีก่อน บริษัทตั้งเป้ายอดขำย 23,000 ล้านบาท เป้ายอดโอน 20,000 ล้านบาท โดยปีนี้มีแผนปรับพอร์ตการลงทุนในการลดสัดส่วน อพาร์ตเม้นท์ 3 แห่งในสหรัฐที่มี yield ลดลงโดยหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรม วันนี้จะจัดงานเปิดตัวโรงแรม Grande Centre Point ลุมพินีซึ่งเป็นโครงการ mixed use ประกอบด้วยอาคารสำนักงานขนาดพื้นที่รวม 12,700 ตรม.และโรงแรม 512 ห้อง ในอนาคตจะเปิดบริการโรงแรม 2 แห่งได้แก่ Grande Centre Point ราชดำริในปี 69 และ Grande Centre Point Pattaya ในปี 70 ซึ่งเราคาดว่าในอนาคตจะเห็นการทยอยขายโรงแรมเข้ากอง REIT เพื่อระดมเงินทุนสินทรัพย์ ที่สร้างรายได้ประจำ
•ความเห็น คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในงวด 1Q68 จะแผ่วลง QoQ จากลูกค้าชะลอการโอนเพื่อรอให้มาตรการผ่อนปรน LTV บังคับใช้ 1 พ.ค. Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 68 เฉลี่ย 4,960 ล้านบาท ลดลง 10%YoY ทั้งนี้ การถือหุ้นในระยะยาวมี yield เฉลี่ยราว 7-8% ต่อปี บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 0.32 บาทต่อหุ้น (เหลือจ่ายอีก 0.17 บาท) yield 4% XD 30 เม.ย. วันจ่าย 21 พ.ค. ราคาหุ้นปัจจุบันลดลง 32% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาซื้อขายที่ระดับ P/E 9.4 เท่าต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 11.8 เท่า เราแนะนำ “ซื้อ”
หุ้นมีข่าว
(+) DEMCO (Bloomberg Consensus - บาท) ส่งบริษัทย่อย "เด็มโก้ เอ็นเนอร์จี แอนด์ ยูทิลิตี้" เซ็นสัญญาร่วมลงนามกับ "คาร์เปท อินเตอร์แนชั่นแนล ไทยแลนด์" เดินหน้าพัฒนาโครงการ โซลาร์รูฟท็อป เฟส 3 กำลังผลิต 1 เมกะวัตต์ คาดแล้วเสร็จพร้อมจ่ายไฟไตรมาส 1/2569 พร้อมตั้งเป้าปี 2570 เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 40 เมกะวัตต์ ตอกย้ำแผนการมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด สอดรับเมกะเทรนด์สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (ที่มา ทันหุ้น)
(+) CHAO (Bloomberg Consensus 6.00 บาท) เดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศครั้งใหญ่ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "ปลาแท่งอบกรอบ" รุกตลาดจีน โดยได้เริ่มวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า Sam's Club กว่า 50 สาขาทั่วประเทศจีน ในช่วงไตรมาส 1/2568 พร้อมสร้าง Brand Awareness ผ่านแคมเปญการตลาดอย่างเข้มข้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ (ที่มา ทันหุ้น)
(+) BAM (Bloomberg Consensus 6.50 บาท) คาดปี 2568 BAM จะกลับมามีผลประกอบการดีที่สุดในรอบ 3 ปี รวมถึงได้รับผลตอบแทนจากเงินลงทุนในกิจการร่วมทุน JV AMC ได้แก่ ARI AMC และ ARUN AMC หนุนกระแสเงินสดต่อเนื่อง ย้ำยังคงแข็งแกร่งแม้ TRIS คงอันดับเครดิตของ BAM ในระดับเดิมที่ "A-" แต่ปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Negative" หรือ "ลบ" จาก "Stable" หรือ "คงที่“ (ที่มา ทันหุ้น)
(+) HARN (Bloomberg Consensus - บาท) ตั้ง "บริษัท โมลลิซ่า จำกัด" ลุยผลิตอวัยวะเทียม 3D คาดเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2 นี้ รุกเจาะฐานลูกค้าโรงพยาบาล-ประกันสังคม มีลุ้นขยายตลาดต่างประเทศ ส่วนธุรกิจระบบดับเพลิง สบช่องรับงานกลุ่มใหม่ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้าขยะ และ ดาต้าเซ็นเตอร์ (ที่มา ทันหุ้น)







