กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คัดหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTFs ที่อาจกลับมา

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คัดหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTFs ที่อาจกลับมา

กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางที่จะนำมาตรการ LTF กลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยอ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา

มีรายงานข่าวว่ากระทรวงการคลังกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะนำมาตรการกองทุนหุ้นระยะยาว (LTFs) กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง หลังจากที่หยุดไปตั้งแต่ปี 2562 เพราะหน่วยงานกำกับดูแลเปลี่ยนไปเน้นส่งเสริมกองทุนรูปแบบอื่น อย่างเช่น RMF, SSF และ Thai ESG แทน แต่จากคุณลักษณะของกองทุนเหล่านี้ และ ข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยทำให้มีนักลงทุนจำนวนมากหันไปเน้นลงทุนในตลาดต่างประเทศผ่านกองทุนเหล่านี้แทน ดังนั้น ในปี 2568 เราจึงเชื่อว่าหากมีการนำมาตรการ LTFs กลับมาใช้ใหม่จริงจะเน้นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย โดยเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังส่งสัญญาณว่ามาตรการ LTFs ชุดใหม่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของกองทุน Thai ESG ซึ่งเมื่อปี 2567 รัฐบาลได้ปรับเพิ่มโควตาการซื้อกองทุน Thai ESG จาก 100,000 บาทต่อราย เป็น 300,000 บาทต่อราย

เรามองว่า หุ้น ESG ที่มีราคาถูก, ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และ ได้อานิสงส์จากประเด็นเศรษฐกิจระยะสั้น มีโอกาสเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTFs

ในการหาเป้าหมายการลงทุนสำหรับ LTFs ชุดใหม่ เราเลือกหุ้นที่เข้าข่ายการลงทุนของ LTFs และ เป็นหุ้นที่อยู่ใน SETESG ที่ได้คะแนนการกำกับดูแลกิจการ (CGR) ระดับห้าดาว จากนั้นจึงเลือกหุ้นที่น่าสนใจโดยใช้เกณฑ์สามข้อดังต่อไปนี้

ข้อแรก คือหุ้นที่มีราคาถูก หรือ ‘ถูกขายมาแล้วหนักๆ’ ทั้งนี้ ดังที่แสดงใน figure 1-2 เราทำรายการหุ้น ESG 15 ตัวแรกที่ถูก de-rate อย่างหนักในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา และ หุ้น 15 ตัวแรกที่ forward PE ต่ำที่สุด โดยในกลุ่มนี้ strategist ของเราชอบ CPALL*, KBANK* และ KTB* โดยเรามองว่าหุ้น CPALL* สะท้อนความเสี่ยงเกี่ยวกับข่าวเสนอซื้อกิจการ 7-11 ในญี่ปุ่นโดยผู้บริหารไปมากแล้ว ส่วนหุ้นธนาคารอีกสองตัว เรามองว่ามี upside จากความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลเพราะสัดส่วน CET1 แข็งแกร่ง

 

ข้อที่สอง คือหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ดังแสดงใน figure 3 เราได้ทำรายการหุ้น ESG 15 ตัวแรกที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2568 สูงที่สุด แต่จากเหตุผลในการคัดหุ้นแบบ top-down สองสามประการเราจึงเลือกที่จะตัดหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ หุ้นพลังงานต้นน้ำออก แม้ว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสูง โดยเราเลือก TOP* และ SCB* เป็นสองหุ้นที่น่าสนใจที่สุดในธีมนี้ 

ข้อที่สาม คือหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากประเด็นเศรษฐกิจระยะสั้นในช่วงปลาย 1Q67 ถึง 2Q67 ซึ่งเรามองว่าในตอนนี้นักลงทุนมีความคาดหวังค่อนข้างต่ำกับมาตรการกระตุ้นการบริโภคเฟส 3 ซึ่งน่าจะดำเนินการใน 2Q67 ผ่านการแจกเงินดิจิทัล โดยแพ็คเกจนี้น่าจะมีขนาด 1.50 แสนล้านบาท (แจกเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลให้ประชาชนในกลุ่มเป้าหมาย 15 ล้านคนรายละ 10,000 บาท) ทั้งนี้ ในช่วงหลายเดือนมานี้ มาตรการกระตุ้นเฟส 1 และ 2 (ดังแสดงใน figure 4) ไม่ได้ช่วยขับเคลื่อนการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้รับเงินส่วนใหญ่เก็บออมเงินเอาไว้ หรือ นำไปชำระหนี้ครัวเรือน ทั้งนี้ ถ้าหากรัฐบาลสามารถออกแบบกระเป๋าเงินที่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนนำไปจับจ่ายใช้สอยได้ ผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนจึงจะเป็นบวกมากขึ้น สำหรับในธีมนี้ เรายังคงชอบ CPALL* เนื่องจากโมเมนตัมของ same-store sales แข็งแกร่งใน 1Q68 ในขณะที่กระเป๋าเงินดิจิทัลอาจจะช่วยรักษาโมเมนตัมให้แข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางปี

ความเห็นนักวิเคราะห์ในเชิงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นห้าตัวที่เราคัดมาสำหรับเก็งกำไรประเด็น LTFs 

CPALL*: เราคาดว่ากำไรในไตรมาสที่สี่จะแข็งแกร่ง และ ทำสถิติสูงสุดใหม่เนื่องจาก i) เป็นช่วง peak ตามฤดูกาล ii) มาตรการกระตุ้นของรัฐบาล (แจกเงินสด) และ iii) นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาเที่ยวประเทศไทย (35.5 ล้านคนในปี 2567 เพิ่มขึ้น 26% YoY และ 9.4 ล้านคนใน 4Q67 เพิ่มขึ้น 19% YoY)

เราคาดว่าโมเมนตัม SSSG น่าจะแข็งแกร่งใน 1Q68 และ ในปี 2568 จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลที่คาดว่าจะออกมาเป็นชุด ๆ และ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าจะเพิ่มขึ้นจากการออกสินค้าใหม่ โดยเฉพาะในหมวดอาหาร

KTB*: เราคาดว่า credit cost จะลดลงในปี 2568 เพราะการปล่อยสินเชื่อใหม่จะเน้นไปที่สินเชื่อความเสี่ยงต่ำในภาครัฐ เรามองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ KTB จะปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลเพราะในปัจจุบันอัตราการจ่ายเงินปันผลของธนาคารต่ำที่สุด (ที่ 33% ในปี FY66) ในขณะที่ CET1 สูงถึง 17.9% (สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร) และ ยังสามารถเพิ่ม CET1 ได้อีกปีละ 1-1.4% เราคิดว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10% จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้น 1.4% นอกจากนี้ เรายังคิดว่า KTB อาจจะเป็นธนาคารถัดไปที่ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน 

KBANK*: ธนาคารจะไม่เน้นขยายสินเชื่อ แต่จะเน้นบริหารจัดการเงินทุนเพื่อเพิ่ม ROE ให้ >10% (จาก
ปัจจุบันที่ 9%) นอกจากนี้ ธนาคารยังอาจจะเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลให้ >50% เพราะ CET1 อยู่ที่ 17.3% (อัตราการจ่ายเงินปันผลปี 2566 อยู่ที่ 36%) เราคิดว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10% จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้น 1.3% นอกจากนี้ KBANK ก็เป็นอีกหนึ่งธนาคารที่อาจจะดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนด้วย 

SCB*: ไม่ต้องบันทึกผลขาดทุนพิเศษอีกในปี 2568 หลังจากที่ขายกิจการ Robinhood (ขาดทุนปีละประมาณ 3-4 พันล้านบาท) ออกไปแล้ว นอกจากนี้ เรายังคาดว่า SCB จะคงอัตราการจ่ายเงินปันผลไว้ที่ระดับสูงกว่า 50% และ รักษาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลไว้ที่ระดับสูงกว่า 6% 

TOP*: ในเดือนมกราคมา 2568 TOP ได้รับค่าชดเชยงวดแรกประมาณ 1.23 หมื่นล้านบาท (358 ล้านดอลลาร์ฯ) จากผู้รับเหมาหลัก คิดเป็น 74.6% ของพันธบัตรค้ำประกันผลงาน (performance bond guarantee) ที่ 480 ล้านดอลลาร์ฯ เรามองบวกกับข่าวนี้ และ คาดว่าบริษัทจะบันทึกค่าชดเชยในงวด 1Q68F ในขณะเดียวกัน เราคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ TOP ในปี 2567F และ 2568F จะน่าสนใจที่ 7.8% และ 12.0% ตามลำดับ อิงจากราคาหุ้นในปัจจุบัน

 

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คัดหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTFs ที่อาจกลับมา

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คัดหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTFs ที่อาจกลับมา

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คัดหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของ LTFs ที่อาจกลับมา