ตลท.จ่อรื้อเกณฑ์ซื้อขายหุ้น หลัง ‘ต่างชาติ’ กังวล ‘ตึงเกินไป’

ตลท. เผยเตรียมทบทวน “มาตรการกำกับซื้อขายเข้มงวด” ช่วงต้นปี 69 หลังพบ “นักลงทุนต่างชาติ” กังวล “ตึงเกินไป” ยันตลาดหุ้นไทยไม่ใช่แหล่งเงินเทา พร้อมเดินหน้าดัน TISA-Jump+ สร้าง “นิว เอส-เคิฟ” ประเมิน “หุ้นไทย” 12 เดือนข้างหน้า ยังเผชิญความท้าทายสูง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ลงทุนใหม่ DR - Inverse ETF สร้างทางเลือกบริหารพอร์ต
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดทุนไทยในช่วงต้นปี 2569 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการพิจารณาทบทวนมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เคยออกบังคับใช้เพิ่มเติมในช่วงต้นปี 2568 เพื่อพิจารณาว่ามาตรการใดควรคงไว้หรือยกเลิก
ดังนั้น เพิ่มความคล่องตัวตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวคิดที่จะ “จัดสมดุลใหม่” (Rebalancing) โดยจะไม่เน้นเพียงการคุมเข้มฝ่ายเดียว แต่จะเพิ่มความคล่องตัว (Agility) เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนได้สะดวกขึ้น ในขณะที่ยังคงรักษาเสถียรภาพของตลาดไว้ได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ จากการหารือกับ MSCI และนักลงทุนต่างประเทศ พบว่ามาตรการที่ไทยนำมาใช้มีความเข้มงวดมากกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคและกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะการลดจำนวนหุ้นที่อนุญาตให้ขายชอร์ต (Short Sell) และมาตรการ Uptick Rule
“เราต้องตัดสินใจบนภาพรวมของข้อมูลที่วิเคราะห์ออกมาจริงๆ ว่าอะไรทำแล้วตลาดดีขึ้นหรือแย่ลง มาตรการที่จะถูกทบทวนรวมถึงการกำหนดหุ้นขายชอร์ตเฉพาะกลุ่ม SET100, การจำกัดการซื้อขายของกลุ่ม HFT, มาตรการ Dynamic Price Band และ Uptick Rule เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อสภาพคล่องจนเกินไป”
สำหรับกรณีที่ภาพลักษณ์ตลาดทุนถูกมองว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน มองว่าเป็นคำพูดที่อาจรุนแรงเกินไป เนื่องจาก ตลท. และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีกระบวนการคัดกรอง (KYC และ CDD) ที่เข้มงวด รวมถึงการตรวจสอบการซื้อขายทุกวัน
“ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพียงบางจุดหรือบริษัทไม่กี่ราย แต่บริษัทจดทะเบียนกว่า 90% หรือ 700-800 บริษัทยังมีธรรมาภิบาลและประกอบการดี เราจำเป็นต้องยกระดับการสื่อสารเพื่อดึงเสน่ห์ของตลาดทุนไทยกลับมา”
ขณะที่ มั่นใจรัฐบาลใหม่เดินหน้าโครงการ TISA ซึ่งจะปรับเงื่อนไขจูงใจกว่าเดิมสำหรับมาตรการบัญชีเพื่อการออม (TISA หรือ Thai ESG) แม้ปัจจุบันจะมีความล่าช้าชั่วคราวจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเห็นความสำคัญและผลักดันต่อ เนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนและตลาดทุน โดย ตลท. จะใช้ช่วงเวลานี้ในการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาออมเงินผ่านตลาดทุนมากขึ้น
ขณะที่ โครงการ Jump+ ถือเป็นหัวหอกสร้าง New S-Curve ในส่วนของผลงานปีที่ผ่านมา โครงการ “Jump+” ซึ่งเป็นโครงการเรือธงของ ตลท. ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีบริษัทแสดงความสนใจเข้าร่วมแล้วกว่า 100 บริษัท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปีหน้า ตลท. จะมุ่งเน้นการสื่อสารและนำเสนอข้อมูลคุณภาพ (Data Presentation) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นายอัสสเดช เปิดเผยในงานสัมมนา Thailand Next Move 2026 ว่า ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ตลาดทุนไทยยังคงเผชิญความท้าทายสูงจากปัจจัยภายนอกทั้งภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้า ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศยังถูกกดดันจากเศรษฐกิจ (GDP) ที่เติบโตต่ำกว่า 2% ส่งผลให้กำไรหลักของบริษัทจดทะเบียนใน 9 เดือนแรกปีนี้ลดลง 7.3% และสภาพคล่องการซื้อขายเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 40,000-42,000 ล้านบาทต่อวัน
ดังนั้น ตลท.เร่งสร้างความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาล โดยวางแนวทางแก้ปัญหาผ่าน 3 แกนหลัก โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างความเชื่อมั่นผ่านการยกระดับเกณฑ์รับบริษัทจดทะเบียนให้เข้มงวดขึ้น การปรับปรุงกลไก Program Trade เพื่อสร้างสมดุลให้นักลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงการทำงานร่วมกับ ก.ล.ต. และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อเร่งรัดคดีทุจริตและป้องกันมิจฉาชีพ เพื่อล้างภาพลักษณ์เชิงลบจากปัญหาธรรมาภิบาลในอดีต เพื่อดึงดูด New S-Curve เพิ่มเสน่ห์การลงทุนเพื่อสร้างแรงจูงใจใหม่
ตลท. เตรียมร่วมมือกับ BOI ดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น Data Center, PCB และ Semiconductor ให้เข้ามาทำการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น เพื่อปรับโครงสร้าง SET50 และ SET100 ให้มีธุรกิจแห่งอนาคต รวมทั้ง ร่วมกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เตรียมเปิดตัว Digital Bond Platform ในช่วงต้นปี 2569 เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาลได้ง่ายขึ้น พร้อมขยายผลิตภัณฑ์ DR เพื่อให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นโลกได้ง่ายด้วยเงินบาท รวมถึงการออก Leveraged & Inverse ETF เพื่อเพิ่มเครื่องมือทำกำไรในทุกสภาวะตลาด







