วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก Sideway Down

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก Sideway Down

วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway Down โดยมีแรงขายกดดันจากหุ้นกลุ่ม Big-Cap นำโดย DELTA จากความกังวล ตลท. เปิดเฮียริ่งเกณฑ์คำนวณน้ำหนักหุ้นรายตัวใน SET50/SET100 รวมทั้งมีแรงขายจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอน

ขณะที่วันนี้นักลงทุนจับตาการประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,262.07 จุด -24.67 จุด -1.92% มูลค่าการซื อขาย 48,143 ลบ. Program Trading +552.9 ลบ. ต่างชาติ +585.6 ลบ. TFEX +7,140 สัญญา ตราสารหนี +5,735.8 ลบ.

ปัจจัยบวก    

+ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ ว่านักลงทุนคาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 18-19 มี.ค. แต่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย.
+ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขาต้องการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน หลังเดินเครื่องนโยบาย "กดดันขั้นสุด"
+ สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 11,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 213,000 ราย

ปัจจัยลบ

- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 125.65 จุด หรือ -0.28% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่รายงานล่าสุด และรอดูผลประกอบการของบริษัทอะเมซอน รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- สัญญา WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ปิดลดลง 42 เซนต์ หรือ -0.59% ปิดที่ 70.61 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำผลักดันการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นหลังมีรายงานสต็อกน้ำดิบสูงเกินคาดของสหรัฐฯ
- UN เตือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ให้หลีกเลี่ยง การกวาดล้างทางชาติพันธุ์ในฉนวนกาซา หลังจากเสนอให้ชาวปาเลสไตน์ไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นและสหรัฐฯ จะเข้ายึดครองดินแดนดังกล่าว

- สนค. เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือน ม.ค.68 เพิ่มขึ้น 1.32% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 และสูงขึ้นเกิน 1% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากฐานราคาต่ำในปีที่ผ่านมา
- สถานการณ์ราคาที่อยู่อาศัย 4Q67 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคา บ้านจัดสรร และห้องชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งราคาที่ดิน ราคาวัสดุก่อสร้าง และค่าก่อสร้าง รวมถึงค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น

แนวโน้มตลาดวันนี้    

คาดดัชนีในวันนี มีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังทำ Lower Low ต่อเนื่อง โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนยังติดตามการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด มองกรอบดัชนี 1,250-1,270 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

• หุ้นที่ได้ประโยชน์โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” : KBANK SCB BBL TTB
• หุ้น ESG ดีเยี่ยม : ADVANC GULF BBL BEM RATCH CPN
• หุ้นได้ประโยชน์ Easy-E receipt : CRC COM7 ERW CENTEL MINT M AU TNP SIS SYNEX IP HL
• Sentiment เชิงบวกจาก บ้านเพื่อไทย : CK STECON CRD
• หุ้นปันผลสูง : SCB TISCO LH RATCH EGCO

 

 

หุ้นรายงานพิเศษ  

ERW  "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม 4.80 บาท)
"งวด 4Q67F คาดกำไรหลักราว 290 ล้านบาท  +133%QoQ, +42%YoY"

•งวด 4Q67 คาดรายได้จากการดำเนินงานที่ 2,182 ลบ. +18%QoQ, +16%YoY เติบโตจากทุกกลุ่มโรงแรมตาม season ของธุรกิจ ทั้งกลุ่มโรงแรมระดับ 5 ดาว กลุ่มโรงแรมระดับกลาง กลุ่มโรงแรมชั้นประหยัด และกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท(Hop Inn) โดยคาดว่ากลุ่มบริษัทรวมมี Occ. Rate 81% +4%QoQ, -2%YoY มี ARR. ที่ 2.06 พันบาท +13%QoQ, +11%YoY และมี RevPAR 1.67 พันบาท +19%QoQ, +9%YoY มีสมมติฐาน EBITDA Margin ที่ระดับ 33.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 29.8% และ 31.9% ในงวด 3Q67 และ 4Q66 ตามลำดับ สาเหตุหลักเนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ส่งผลให้เราคาดกำไรหลักราว 290 ลบ. +133%QoQ, +42%YoY

•ปี 67-68 คาดรายได้จากการดำเนินงานจำนวน 7,839 ลบ. +12%YoY และ 8,466 ลบ. +8%YoY ตามลำดับ โดยรายได้ที่เติบโตต่อเนื่อง มาจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ในปี 67 บริษัทมีการเปิดโรงแรม Hop Inn จำนวน 13 แห่งทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ สำหรับปี 68 รายได้เติบโตจากกลุ่มโรงแรมเดิม และโรงแรม Hop Inn ที่เปิดในปีก่อนหน้า มีสมมติฐาน EBITDA Margin ที่ระดับ 34% และ 32% ตามลำดับ จากการควบคุมค่าใช้จ่ายดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิหลักจำนวน 826 ลบ. +17%YoY และ 904 ลบ. +9%YoY ตามลำดับ

ความเห็น เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี EV/EBITDA โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ที่ระดับ 15.x EV/EBITDA คำนวณเป็นราคาเหมาะสมที่ 4.80 บาท มี upside 48% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 2.3% ต่อปี เราจึงแนะนำ “ซื้อ”

หุ้นมีข่าว

(+) TEGH (Bloomberg Consensus 4.90 บาท) ตั้งเป้าปี 2568 รายได้รวมโตกว่า 30% แตะ 2.3 หมื่นล้านบาท หนุนจากทุกกลุ่มธุรกิจ มั่นใจปริมาณขายยางแท่ง STR20 เติบโตกว่า 27% YoY สอดคล้องภาคธุรกิจปรับตัว รับมาตรฐาน EUDR, CBAM ธุรกิจปาล์มน้ำมัน ปรับปรุงเครื่องจักร ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อัตรากำไรขั้นต้นสูง แถมลงทุนขยายกำลังการผลิตไบโอแก๊สเพิ่มอีก 5-7 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อวัน ชูออเดอร์รับซื้อแล้ว 3 หมื่นลูกบาศก์เมตรต่อวัน (ที่มา ทันหุ้น)

(+) CH (Bloomberg Consensus - บาท) พร้อมก้าวสู่ 100 ปี อย่างยั่งยืน กางแผนธุรกิจปี 2568 วางเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท โต 8% รักษามาร์จิ้นระดับ 16% มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มขนมเพื่อสุขภาพ ผลไม้อบแห้งปรุงรส ผลไม้อบกรอบ อัดกลยุทธ์ออนไลน์เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ปลากระป๋อง กลุ่มผลิตภัณฑ์ผลไม้อบแห้ง เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม ชูมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้าน ESG (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SJWD (Bloomberg Consensus 16.80 บาท) ร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปิดดีลเมกะโปรเจ็กต์จาก "บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย)" และ "แคเรียร์ (ประเทศไทย)" ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศแบรนด์แคเรียร์และโตชิบา รวมมูลค่างานกว่า 1,850 ล้านบาท โชว์ศักยภาพผู้นำ โลจิสติกส์โซลูชันครบวงจร คาดพร้อมส่งมอบคลังสินค้าหลังใหม่เพื่อเริ่มใช้งานภายในเดือนตุลาคม 2568 เตรียมต่อยอดนำเสนอบริการขนส่งข้ามแดน นำเข้าเครื่องปรับอากาศที่ผลิตจากต่างประเทศมาในไทย พร้อมรับดำเนินการพิธีการทางศุลกากร (ที่มา ทันหุ้น)

(+) DEMCO (Bloomberg Consensus - บาท) เปิดกลยุทธ์ธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% เดินหน้าประมูลงานใหม่กว่า 3 หมื่นล้านบาท ดันแบ็กล็อกแตะ 4,600 ล้านบาท ฟากซีอีโอ ระบุเตรียมจัดงบลงทุน 100 ล้านบาท ขยายไลน์ธุรกิจพลังงานสะอาด สอดรับเมกะเทรนด์และสร้างรายได้ในอนาคต (ที่มา ทันหุ้น)