วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ SCC อนาคตยังคงไม่แน่นอน และขาดทุนหลัก 4Q67 ต่ำกว่าคาดอีกครั้ง

นับเป็นการขาดทุนสุทธิครั้งที่สองของ SCC ในรอบ 16 ปี โดย SCC มีผลขาดทุนสุทธิ 4Q67 อยู่ที่ 512ล้านบาท (เทียบกับกำไรสุทธิ 721 ล้านบาทใน 3Q67 และขาดทุนสุทธิ 1.1 พันล้านบาทใน 4Q66) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด
เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (1.1 พันล้านบาท) ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นการขาดทุนจากสต็อกสินค้า สาเหตุคาดเกิดจากเหตุการณ์ผิดปกติของการเก็บสต็อก Naphtha ระหว่างหยุดชั่วคราวของโรงปิโตรเคมี LSP (เปิด ต.ค. 67 และปิดหลังจากนั้นราวครึ่งเดือน) อย่างไรก็ตามขาดทุนหลักที่ 1.6 พันล้านบาท (เทียบกับขาดทุนหลัก 160 ล้านบาทใน 3Q67 และกำไรหลัก 502 ล้านบาทใน 4Q66) ต่ำกว่าคาดมากผลจากธุรกิจเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ขาดทุนกว่าคาด โดยรวมกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท (-76% YoY) ขณะที่กำไรหลักอยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท (-52% YoY) ทั้งนี้ SCC จะจ่าย DPS 2H67 ที่ 2.50 บาทต่อหุ้น (เทียบกับ 3.50 บาทต่อหุ้นใน 2H66) (XD: 2 เม.ย. 68) คิดเป็นผลตอบแทนที่ 1.6% และอัตราจ่ายเงินปันผลที่ 95% ในปี 2567 (เทียบกับ 54% ในปี 2566)
การดำเนินงานชะลอตัวหลัก ๆ ยังคงถูกฉุดจากธุรกิจเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์
ผลขาดทุนสุทธิใน 4Q67 ของ SCC ลดลง QoQ ถูกฉุดจาก: i) ได้เงินปันผลก้อนใหญ่มาจาก Toyota และ
Kubota (7.7 พันล้านบาท) และ ii) มีกำไร inventory gain ถึงแม้ไตรมาสนี้จะไม่มีรายการกำไรจากการแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย (IRS) ที่ 2.1 พันล้านบาทเหมือนใน 3Q67 และธุรกิจหลักอย่างเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ขาดทุนมากขึ้น รวมถึงต้นทุนคงที่ต่างๆ สูงขึ้น (DDA&A + ดอกเบี้ยจ่าย) ที่โรงงานปิโตรเคมี LSP (1.5 พันล้านบาท) (ประมาณ 500 ล้านบาทต่อเดือน) ส่วนขาดทุนลดลง YoY เป็นเพราะไม่มีการด้อยค่าของโรงงานปูนซีเมนต์ในเมียนมาร์ใน 4Q66 (1.6 พันล้านบาท) แม้ผลการดำเนินงานทุกกลุ่มธุรกิจชะลอตัว (นำโดยกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์) มีต้นทุนพิเศษ และขาดทุนจากสต็อกสินค้า
Key highlights
i) กลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์มีผลขาดทุนสุทธิมากขึ้นตาม spread ที่ลดลง (PP และ PE) แม้จะมีปริมาณขายสูงขึ้น (PE+PP) และมีกำไรจากสต็อกสินค้า ส่วน HDPE spread ลดลงเหลือ 316 US$/ton (-2% QoQ และ -13% YoY) และ PP spread อยู่ที่ 328 US$/ton (+4% QoQ และ +13% YoY) ส่วน EBITDA กลุ่มนี้อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท (-7% QoQ และ -41% YoY)
ii) กำไรของธุรกิจธุรกิจซีเมนต์เพิ่มขึ้น QoQ หนุนจากต้นทุนพลังงานและต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ ต่ำลง ทั้ง ๆ ที่ยอดขายลดลงก็ตาม แม้ในขณะนี้ มีศักยภาพของยอดขายปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำจะมีโอกาสเพิ่มอัตราการเจาะตลาดได้มากขึ้น ส่วน EBITDA ของกลุ่มนี้อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท (-3%QoQ แต่ +158% YoY) (พุ่งขึ้น YoY เพราะไม่มีการด้อยค่า)
iii) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ขาดทุนสุทธิครั้งแรก (แย่ที่สุดนับตั้งแต่ IPO) ถูกฉุดรจากจาก i) การรับรู้ขาดทุนเต็มไตรมาสจาก Fajar พร้อมดอกเบี้ยเต็มจำนวนอีกด้วย แม้จะขาดทุนลดลง ii) ต้นทุนซ่อมบำรุงรักษาโรงงาน dissolving pulp ที่ธุรกิจ fibrous (FB) และ iii) การขาดทุนเพิ่มขึ้นมากในธุรกิจกระดาษรีไซเคิล ทั้งนี้ EBITDA 4Q67 อยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท (-19% QoQ และ -35% YoY)
Valuation and action
ปัจจุบัน Bloomberg consensus ให้คำแนะนำ SCC ที่ ซื้อ/ถือ/ขาย (4/16/5 ราย) (ขาย/ถือมากขึ้นกว่าใน
3Q67) อย่างไรก็ตาม หลังการปรับลดประมาณการกำไรปี 2568-2569F ลงหนักถึง 70-75% ตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึง YTD ประมาณการกำไรสุทธิของตลาดโดยรวมอยู่ที่ 1.32 หมื่นล้านบาท (+109% YoY) ในปี 2568F และ 1.77 หมื่นล้านบาท (+34% YoY) ในปี 2569F ขณะที่ เราคาดว่าตลาดจะมีการ downgrade ประมาณการกำไรเพิ่มอีกหลังประกาศงบ 4Q67 ไปแล้ว โดยเรายังคงมุมมองไม่ชัดเจน หลัก ๆ จากความไม่แน่นอนต่าง ๆจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และปัญหาอุปทานล้นตลาด นอกจากนี้ คาดว่ากำไรเบื้องต้นใน 1Q68F จะ
ยังคงอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากการค่อย ๆ ฟื้นตัวและ spread ไม่ดี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ้นจะเทรดทั้ง P/E และ P/BV ในอดีตต่ำกว่า -2SD แต่ยังขาด re-rating catalyst ที่ชัดเจนโดยความเสี่ยงในการปรับลดประมาณการกำไรยังคงอยู่
Risks
การปิดซ่อมบำรุงนอกแผน, ปัญหา cost overruns และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว