วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ปัจจัยการเมืองภายในยังเป็นแรงกดดันหลักต่อตลาด

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ปัจจัยการเมืองภายในยังเป็นแรงกดดันหลักต่อตลาด

การเมืองในประเทศ รอความชัดเจนเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นและยืนยันความต่อเนื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นไทยเปราะบางจากประเด็นคดีทางการเมือง มีความเสี่ยงกระทบต่อการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจ

ได้แก่ 1) การพิจารณาคดี ยุบพรรคก้าวไกล (12 มิ.ย.) 2) ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งรมต.ที่มีข้อสงสัยด้านจริยธรรม (12 มิ.ย.) 3) การพิจารณาคดี ม.112 คุณทักษิณ ชินวัตร (18 มิ.ย.) ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงความกังวลต่อเสถียรภาพการเมือง แต่เรามองปัจจัยหลักคือความกังวลต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจสะดุดหากมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางการเมือง โดยเฉพาะการพิจารณางบประมาณปี 2568 (เข้าสภาฯ 19-20 มิ.ย / กมธ. 24 มิ.ย. เป็นต้นไป) อย่างไรก็ตาม เราประเมินภูมิทัศน์การเมืองไทยมีโอกาสเปลี่ยนแปลงจำกัด โดยพรรคเพื่อไทยที่ยังคงจำเป็นในฐานะแกนนำการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้เรามองความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการต่อรองทางการเมือง มากกว่าการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมือง ดังนั้นคาดการเมืองในฝั่งรัฐบาลไม่เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเมื่อมีความชัดเจน ตลาดจะมีโอกาสฟื้นตัว โดยมองไปที่ความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง

ยังคงมุมมองบวกแบบระมัดระวัง และความผันผวนช่วงมิ.ย.เป็นโอกาสลงทุน เราคงมุมมองบวกต่อตลาดในช่วงครึ่งปีหลังจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ฟื้นตัว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม มีโอกาสที่ตลาดจะผันผวนจาก 1) ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯหวังลดดอกเบี้ย 2)การเมืองยุโรป และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ 3) ความเสี่ยงจากการเมืองในประเทศที่อาจกระทบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เรามองความผันผวนเป็นโอกาสในการซื้อและเพิ่มน้ำหนักการลงทุน โดยเน้นธีม 1) หุ้นได้ประโยชน์จากบาทอ่อน 2) หุ้นได้ประโยชน์จากรายจ่ายภาครัฐ 3) หุ้นได้ประโยชน์จากการบริโภคและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

 


 

ภาพรวมกลยุทธ์ ทยอยสะสม แบบแบ่งไม้ซื้อ หลังแกว่งลงมาถึงโซนซื้อ 1,300-1,330 จุด ซึ่งเป็นจุดซื้อที่ดีที่สุดในรอบ 12-18 เดือน ข้างหน้า และด้วย Valuation ของ SET ที่แข็งแกร่งในระดับ 1,300 จุด ประเมินความเสี่ยงของการลงแรงถึงระดับ 1,100-1,200 จุด อยู่ในระดับต่ำ // กลุ่ม ICT ทั้งใหญ่และเล็ก หลายตัวมีปัญญาณฟื้นตัวที่ดี

หุ้นแนะนำ: PTG*, TU*, ADVANC*, SYNEX*

แนวรับ: 1,300 / แนวต้าน : 1,335 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ    

จับตา ครม. เคาะงบก๊อกสอง ปี 2568 แจกเงินดิจิทัล – ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ (ฐานเศรษฐกิจ)

รมว.คลัง เร่งกระตุ้นท่องเที่ยว-เบิกจ่ายลงทุน หวังดัน GDP ปีนี้โต 3% ยันได้เห็น LTF ปีนี้แน่นอน รมว.คลัง เผยหลังประชุมครม. เศรษฐกิจ รับ GDP เติบโตต่ำกว่าศักยภาพ เดินหน้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ เร่งรัดการลงทุนรัฐ-เอกชน หวัง GDP ไทยโตเกินเป้าแตะ 3% เตรียมให้ออมสินออก Soft Loan อีก 1 แสนล้านบาท ให้สถาบันการเงินนำเงินไปใช้ปล่อยสินเชื่อ แย้ม LTF อยู่ขั้นตอนเตียมหารือ FETCO ยันปีนี้มีแน่นอน (อินโฟเควสท์)

ประกาศผลการทบทวนหลักทรัพย์ชุดใหม่เข้าคำนวณ FTSE SET Index Series โดย"BH" เข้า Large Cap Index ส่วน BJC,BTSGIF ,ICHI เข้า Mid Cap Index และมี 16 หลักทรัพย์ใหม่เข้าดัชนี FTSE SET Shariah Index มีผลวันที่ 24 มิ.ย.67 (ฐานเศรษฐกิจ)

NEX เพิ่มทุน 8,837 ล้านหุ้น ขายให้พาร์ทเนอร์ ราคาหุ้นละ 2.55 บาท ขายผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 1 บาทรวมถึงรอรับวอร์แรนต์สัดส่วน 1:5 ราคาใช้สิทธิ 12.75 บ. และขายผู้ถือหุ้นเดิม อัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคา 1 บาท/หุ้น  (อินโฟเควสท์)

 

 

BEM-CK วันพุธที่ 12 มิ.ย. 67 ศาลปกครองสูงสุดมีกำหนดอ่านคำพิพากษาคดีรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ BTSC (โจทก์) ฟ้อง รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือก (จำเลย) ในข้อหาสมรู้ร่วมคิดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเดิมเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 66 ให้ยกฟ้องเป็นฝ่ายชนะจำเลย หากศาลยกฟ้อง ผลที่ได้น่าจะเป็นผลบวกต่อ BEM และ CK เนื่องจากไม่มีคดีคงค้าง และ คาดว่าโครงการจะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในภายหลัง 

JAS – JTS จากกการประกาศเตรียมซื้อหุ้นคืนของ JAS ในวันที่ 25 มิ.ย. – 23 ก.ค. 67 บริษัทลูกอย่าง JAS เซอร์ไพรส์ด้วยการ Spin-Off บริษัทลูกชื่อ จัสเทล เน็ตเวิร์ค จำกัด (Jastel) (ข่าวหุ้น)

คาดการณ์หุ้นเข้า SET50/ SET100 ครึ่งปีหลัง SET50: (+) BJC, TIDLOR, BCP, ITC (-) BANPU, SAWAD, COM7, KCE ในขณะที่ SET100 (+) BJC JTS BA MBK CKP JAS QH SKY PRM // (-) TKN, FORTH, AURA, MOSHI, ORI, RCL, SNNP 

ประเด็นติดตาม 12 มิ.ย. – TH การประชุมกนง., US การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) 

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)