วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ

และมีโอกาสเกิดสัญญาณขายรอบใหม่ หากดัชนีฯ ร่วงต่ำกว่า 1,405 จุด ซึ่งจะเป็นสัญญาณขายทันที

ประเด็น Event สำคัญ วันนี้

+ดอกเบี้ยไทย: นายกฯ เศรษฐา หารือกับผู้ว่าธปท. ดร.เศรษฐพุฒิ วานนี้ ประเด็นปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ ขณะที่ ประธานกกร. สนั่น อังอุบลกุล สนับสนุนให้กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ในช่วงเวลาเดียวกันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด (โมเมนตัมบวกต่อหุ้นอิงดอกเบี้ย แต่เป็นลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคารฯ ประกัน)

 

ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญวันนี้

-US รายงานเงินเฟ้อเดือน ธ.ค. คาดพลิกกลับมาปรับสูงขึ้น (หากออกมาสูงกว่าคาด จะเป็น Negative Sentiment ต่อตลาดพันธบัตร และหุ้นกลุ่ม High Growth): Consensus คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. จะขยายตัว +0.2% MoM, +3.2% YoY (Vs เดือน พ.ย. +0.1% MoM, +3.1% YoY) ส่วน Core Inflation Rate เดือน ธ.ค. คาด +0.3% MoM, +3.8% YoY (Vs เดือน พ.ย. +0.3% MoM, +4% YoY) ทั้งนี้ แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในทิศทางชะลอตัว โดย Bloomberg /Trading Economics คาดว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะปรับลดลงเหลือ +2.6%/2.5% YoY ในปี 2024E จาก +4.1% YoY ในปี 2023E และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 125 bps เป็น 4.25% ณ สิ้นปี 2024 (สูงกว่าคาดการณ์ของ Dot Plot ของเฟดที่คาดปรับลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง แต่น้อยกว่าคาดการณ์ของ CME FedWatch Tool ที่คาดลดดอกเบี้ย 6 ครั้ง) ทั้งนี้ เราคาดว่าระดับราคาหุ้นได้รับรู้ล่วงหน้าไปเป็นส่วนใหญ่แล้วต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ย (Price In) ดังกล่าว ทำให้ สัญญาณลดดอกเบี้ยที่อาจน้อยกว่าคาด จะเป็น Negative Sentiment ต่อทิศทางราคาหุ้นระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม High Growth (Tech, Property)

 

 

KTX คาดเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. จะปรับตัวสูงขึ้นป็น +3.2% YoY: เป็นผลจาก 3 ปัจจัยได้แก่ 1. ตัวเลขฐานต่ำในเดือน ธ.ค. 2022 2. โอกาสเกิด Demand Pull Inflation มีสูง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตสูงถึง +2.5% QoQ ใน 4Q23E (ข้อมูลจาก Fed Atlanta ล่าสุด)ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเงินเฟ้อ เนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 60% ของการคำนวณตะกร้าเงินเฟ้อ 3. ผลบวกจากการลดลงของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเป็น Cost Push Inflation (สัดส่วน 40% ของตะกร้าเงินเฟ้อ) ชะลอลงเทียบกับเดือนก่อนหน้า -5.7% MoM Vs เดือน พ.ย. -6.2% MoM อ้างอิงราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยเดือน ธ.ค. ที่ USD72 Vs USD76/บาร์เรล ในเดือน พ.ย.)

-US รายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์: Consensus คาดเพิ่มขึ้น +210k (Vs สัปดาห์ก่อนหน้า +202k) ทั้งนี้ สัญญาณการจ้างงานที่ยังเติบโตดี สะท้อนตลาดแรงงานยังคงไม่ผ่อนคลายการตึงตัว และทำให้โอกาสที่เฟดจะเร่งปรับลดดอกเบี้ยช้าลงในช่วงต้นปีนี้

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำ หุ้นบลูชิพที่มีประเด็นบวก ได้แก่ BH CPALL CHAYO

 

Strategic daily picks

BH    ปิด 235.00 บาท/แนวรับ 228.00 บาท แนวต้าน 247.00 บาท

แนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q23 คาดดีต่อเนื่องตามแผนงานของบริษัท เนื่องจากมีโรคประจำฤดูและจำนวนผู้ป่วยต่างชาติสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งภาพรวมปี 2023 เติบโตมากกว่าปี 2022 ที่มีรายได้รวม 2.1 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 4.9 พันล้านบาท หลังจากใน 9M23 มีรายได้รวม 1.9 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 5.3 พันล้านบาท แล้ว Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 6.9 พันล้านบาท (+39.73% YoY) และมูลค่าเหมาะสมที่ 282.41 บาท

 

CPALL     ปิด 54.25 บาท/แนวรับ 52.50 บาท แนวต้าน 56.50 บาท

บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปี 2024 ราว 3.5-3.6 หมื่นล้านบาท (7-11 ราว 1.2 หมื่นล้านบาท, Makro ราว 1-1.2 หมื่นล้านบาท และ Lotus ราว 1-1.2 หมื่นล้านบาท) โดยยังคงตั้งเป้าขยายสาขาร้าน 7-11 ที่ 700 สาขา/ปี มุ่งเน้นสาขานอกอาคาร และตั้งเป้าขยายสาขา 7-11 ในประเทศกัมพูชา ราว 30-40 สาขา และสปป.ลาว ราว 2-3 สาขา Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 1.72 หมื่นล้านบาท (+29.77% YoY) และมูลค่าเหมาะสมที่ 73.55 บาท

CHAYO    ปิด 5.65 บาท/แนวรับ 5.30 บาท แนวต้าน 6.05 บาท

บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2024E เติบโตไม่ต่ำกว่า 25% และตั้งเป้าซื้อหนี้เสียเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาท ใช้เงินลงทุนประมาณ 1-1.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าธนาคารพาณิชย์ยังมีการนำหนี้เสียออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้ในปี 2023 นั้น สามารถประมูลซื้อและการได้มาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL & NPA) กว่า 1.95 หมื่นล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ 1.24 หมื่นล้านบาท Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 364.5 ล้านบาท (+45.10% YoY) และมูลค่าเหมาะสมที่ 7.28 บาท