กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ สัปดาห์แห่งการพักสร้างฐานราคา

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ สัปดาห์แห่งการพักสร้างฐานราคา

ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวในกรอบ ขณะที่กระแสเงินทุนจากต่างชาติยังไม่นิ่ง ในสัปดาห์ที่แล้ว (13 – 17 พฤศจิกายน) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีเกินคาด จากภาวะตลาดโลกที่ดีขึ้น เ

เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐขยับลดลงมาแรงหลังจากที่ตัวเลข CPIs เดือนตุลาคม ของสหรัฐออกมาต่ำเกินคาด และ ธนาคารหลักสองสามแห่งออกมาคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยทั่วโลกจะลดลงในปี 2567 ดังนั้น ดัชนี US Dollar Index จึงลดลง ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น และมีกระแสเงินลงทุนกลับมาที่ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นที่จะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยยังค่อนข้างต่ำจากปัจจัยภายในประเทศที่ยังไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการ digital wallet และประเด็นที่มีการคุยกันในตลาดเกี่ยวกับการขาย short sell ในตลาดหุ้นไทย

ในสัปดาห์นี้ (20 – 24 พฤศจิกายน) เราคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ทั้งนี้ อย่างที่เราระบุไว้เมื่อสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรโลกที่ลดลงจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้ตลาด หลังจากที่เผชิญกับแรงเทขายในช่วงที่ผ่านมา และทำให้หุ้นที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่นไฟแนนซ์ และสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าหุ้นกลุ่มหลักของ SET อย่างเช่น ธนาคาร พลังงาน และ ICT ยังขาดปัจจัยกระตุ้ด้านบวก ดังนั้น เราจึงมองว่าตลาดมี upside จำกัด นอกจากนี้ ค่าเงินบาทในช่วงนี้ยังแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่กระแสการลงทุนจากต่างชาติเหมือนจะเน้นไปที่พันธบัตรมากกว่าหุ้น ในขณะเดียวกัน consensus เปลี่ยนมามองว่าเศรษฐกิจ DM จะถดถอยอย่างอ่อน ๆ ในปี 2567 ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าหุ้นไทยมากนักในระยะสั้น

 

 

 

ติตามรายงานการประชุม FOMC, ปาฐกถาของผู้บริหาร Fed และการประกาศดอกเบี้ย LPR ของจีน
 

ปัจจัยต่างประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเดือนตุลาคม ซึ่งได้แก่ยอดขายบ้านมือสอง (21 พฤศจิกายน), รายงานการประชุม FOMC และยอดขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (22 พฤศจิกายน) ii) ปาฐกถาจากผู้บริหาร Fed ทั้งนี้ ในภาพรวม นักลงทุนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากความเสี่ยงของเงินเฟ้อ และการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว มาเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2567 นอกจากนี้ PBoC ยังกำหนดจะประกาศอัตราดอกเบี้ย loan prime rate (LPR) 1 ปี ซึ่งตลาดคาดว่าจะยืนอยู่ที่เดิมที่ 3.45%

ปัจจัยในประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) ตัวเลข GDP 3Q66 ของไทยที่จะประกาศออกมาในวันนี้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ของเราคาดว่าจะขยายตัว 2.1% YoY ในขณะที่ consensus ประเมินที่ 1.8% YoY ii) โมเมนตัมการปรับ EPS ของบจ. ไทย จากการที่นักวิเคราะห์ร่วมประชุมกับบจ. หลังงบออกเพื่อประเมินทิศทางใน 4Q66 และ แนวโน้มปี 2567 iii) กระแสข่าวเกี่ยวกับการขาย short-sell และการซื้อขายหุ้นความถี่สูงจากการที่ SET เริ่มเปิดเผยข้อมูลรายวันของการซื้อขายแบบ program trading ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

 

ยังคงเน้นเลือกหุ้นเทรดแบบ bottom-up ท่ามกลางมุมมองภาพใหญ่ว่า SET Index จะ sideways ในสัปดาห์นี้

เนื่องจากเรามองว่าตลาดจะพักฐาน เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นหุ้นในธีมการลงทุนเฉพาะตัวอย่างเช่น i) อัตราดอกเบี้ยกำลังผ่านจุดสูงสุด (SAWAD*, MTC*) ii) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจสหรัฐ และเอเชียที่มีแนวโน้มดีกว่าภูมิภาคอื่น (TU*, RBF) และ iii) หุ้นผู้บริโภคในส่วนของสินค้าจำเป็น ซึ่งจะได้อานิสงส์จากมาตรการ e-Refund สำหรับผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์ได้เงินตามมาตรการ digital wallet (CPN*, CRC*, HMPRO*)