Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 18 September 2023

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 18 September 2023

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัว ท่ามกลางแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 84-94 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 87-97 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 18 September 2023

 

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (18 – 22 ก.ย. 66)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง หลังได้รับแรงสนับสนุนจากอุปทานน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มตึงตัวจากการปรับลดกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย รวมถึง ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับลดลง ขณะที่อุปสงค์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม ตลาดมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงและมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเร็วนี้ 
 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

-  ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จึงส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมันดิบ หลังธนาคารกลางสหรัฐ มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25 – 5.50% ในการประชุมวันที่ 19-20 ก.ย. แต่คาดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการชุมเดือน พ.ย. 66 เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือน ส.ค. ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.2% มาอยู่ที่ 3.7% เนื่องจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับสูงที่ราว 4.3% 

-  อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่อง เนื่องจากซาอุดิอาระเบียขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมที่ระดับ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นปี 2023 ขณะที่ รัสเซียขยายระยะเวลาการลดการส่งออกน้ำมันดิบที่ระดับ 0.3 ล้านบาร์เรล ถึงสิ้นปีเช่นกัน  โดยปริมาณการผลิตล่าสุดของซาอุดิอาระเบียในเดือน ส.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 8.95 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ 9.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน

-  ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันดิบมีแนวโน้มคงกำลังการกลั่นในระดับสูงและปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานพลังงานสากลสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 16.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2562
 

 

 

- สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดตลาดน้ำมันดิบจะเข้าสู่ภาวะขาดดุลอย่างมากในไตรมาส 4 ของปี 2566 ที่ราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบปรับลดลงจากการขยายมาตรการปรับลดกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจนถึงสิ้นปีนี้  ขณะที่อุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของกลุ่มโอเปคที่คาดว่าตลาดจะขาดดุลมากสุดในรอบ 5 ปี สำหรับในปี 2567 IEA คาดความต้องการใช้น้ำมันดิบจะเติบโตที่ราว 1.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่อุปทานจะปรับเพิ่มขึ้นราว 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตลาดมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเกินดุลอีกครั้ง

-  ความกังวลต่อวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของจีนเริ่มคลี่คลายลง หลัง Country Garden บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอกชนรายใหญ่ที่สุดของจีน ได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ให้ขยายระยะเวลาการชำระคืนพันธบัตร 6 ชุดออกไปอีก 3 ปี นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้มีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและให้สินเชื่อในอัตราพิเศษกับการซื้อบ้านในครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตาการเจรจาขยายระยะเวลาชำระคืนพันธบัตรที่จะมีกำหนดชำระวันที่ 21 ต.ค. นี้ ว่าจะสามารถเลื่อนออกไปได้หรือไม่ หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้อาจจะส่งผลกดดันต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดน้ำมัน

-  ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านเริ่มคลี่คลายลง หลังล่าสุดสหรัฐฯ ได้ยกเว้นมาตรการคว่ำบาตรบางส่วน โดยอนุญาตให้อิหร่านสามารถเข้าถึงรายได้จากการขายน้ำมันดิบที่ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการปล่อยตัวนักโทษชาวอเมริกา ความคืบหน้าล่าสุดอิหร่านสามารถเข้าถึงเงินทุนดังกล่าวได้แล้วและการปล่อยตัวนักโทษคาดจะเกิดขึ้นในเร็วนี้ ซึ่งผลจากการผ่อนปรนความเข้มงวดของมาตรการฯ ส่งผลให้อิหร่านมีการปรับเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบขึ้นมาอยู่ที่ราว 3.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ส.ค. 66 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเดือน ก.ย. 66

-  เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการสหรัฐฯ เดือน ก.ย. 66 ดัชนีราคาผู้บริโภคยูโรโซน เดือน ส.ค. 66 และดัชนีราคาผู้บริโภคและผู้ผลิตของอังกฤษ เดือน ส.ค. 66
 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 – 15 ก.ย. 66) 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 3.26 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 90.77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เช่นเดียวกันกับราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 3.28 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 93.93 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 95.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังได้รับแรงสนับสนุนความกังวลต่ออุปทานตึงตัวจากการขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน และรัสเซียที่ปรับลดการส่งออกน้ำมันดิบราว 300,000 บาร์เรลต่อวัน จนถึงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 8 ก.ย. 66 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.0 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล