วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.โกลเบล็ก TACC - ซื้อ

วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.โกลเบล็ก TACC - ซื้อ

คาดผลประกอบการ 2H66 โตดีกว่า 1H66 แต่ปรับเป้ากำไรปี 66 ลง จากมาร์จิ้นที่อ่อนแอ

ประเด็นสำคัญในการลงทุน

•    งวด 2Q66 มีกำไร 53.9 ลบ. -21%YoY +27%QoQ เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่คาด : งวด 2Q66 บริษัทมีรายได้ 445.1 ลบ. +16%YoY +17%QoQ โดยโต YoY จากกำลังซื้อที่ฟื้นโตดีจากคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ช่วยหนุน Traffic ของร้าน 7-Eleven ควบคู่ไปกับการขยายสาขา 7-Eleven ทั้งในประเทศ (+782 สาขา YoY +168 สาขา QoQ) และการขยายสาขาในกัมพูชา และโต QoQ จากการเข้าสู่ฤดูร้อน ส่วน %GPM ฟื้นดีขึ้นจากไตรมาสก่อนมาที่ระดับ 32.7% จาก 31.6% จากต้นทุนวัตถุดิบบางรายการที่เริ่มปรับลดลงแล้ว แต่ยังอ่อนแอจาก 2Q65 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 36.8% ส่งผลให้งวด 2Q66 มีกำไร 53.9 ลบ. -21%YoY +27%QoQ เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่คาด โดยกำไร 1H66 เท่ากับ 96 ลบ. คิดเป็น 42% ของประมาณการทั้งปี 66 เดิมที่ราว 231 ลบ. -2%YoY

•    คาดแนวโน้มผลประกอบการ 3Q66 อ่อนลง YoY และ QoQ: เราคาดแนวโน้มรายได้จะยังคงเติบโต YoY ตามการขยายสาขา 7-Eleven ในช่วง 3Q66 อีกราว 150-200 สาขา ประกอบกับ SSSG ในเดือน ก.ค.66 อยู่ที่ราว 3-5% แต่อ่อนเล็กน้อย QoQ หลังจากผ่านพ้นช่วง High Season อย่างไรก็ตาม คาด %GPM จะใกล้เคียงกับช่วง 2Q66 ที่ราว 32.5% แต่ยังต่ำกว่า 3Q65 ที่ระดับ 35.1% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ยังทรงตัวสูง ส่งผลให้คาดกำไรช่วง 3Q66 จะอ่อนแอลงทั้ง YoY และ QoQ
 

•    ปรับลดคาดการณ์กำไรปี 66 ลง 10% สู่ 201 ลบ. -14% จากการปรับลดสมมติฐานมาร์จิ้นและ บ.ร่วม ขาดทุนมากขึ้น: เราคงประมาณการรายได้ปี 66 ที่ราว 1,683 ลบ. +10%YoY และคาดช่วง 2H66 โตดีกว่า 1H66 โดยเติบโตจากรายได้ทั้งกลุ่ม 7-Eleven จากกำลังซื้อของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับแผนขยายสาขา 7-Eleven ทั้งในประเทศที่ราว 700 แห่ง (YTD +377 แห่ง) และกัมพูชาที่ราว 100 แห่ง (YTD +60 แห่ง) และกลุ่ม Non 7-Eleven คาดจะเติบโตดีเช่นกัน อาทิ Licenses, MOU-BONCAFE และกาแฟพันธุ์ไทยที่มีแผนขยายสาขาเชิงรุกสู่ 1,200 แห่ง จาก 2Q66 มีสาขา 703 แห่ง 

ทั้งนี้ แม้ราคาวัตถุดิบบางรายการเริ่มปรับลดลงมาแล้วจากปลายปี 65 อาทิ สารให้ความหวาน ชา นมผง และครีมเทียม เป็นต้น ส่วนราคาน้ำตาลที่ปรับเพิ่มขึ้น 20%QTD คาดกระทบไม่มาก เนื่องจากส่วนใหญ่ปรับมาใช้สารทดแทนความหวานแล้ว อย่างไรก็ตาม สมมติฐาน %GPM ทั้งปี 66 อาจต่ำกว่าที่เราประเมินไว้เดิมที่ราว 33.5%  หลังจากช่วง 1H66 ทำได้เพียงที่ระดับ 32.2% ส่งผลให้เราปรับคาดการณ์ %GPM ทั้งปี 66 ลดลงสู่ระดับ 32.5% นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุน ไทยคานาเทค อินโนเวชั่น จำกัด หรือ TCI (สัดส่วน 30%) ประกอบธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชง มีส่วนแบ่งขาดทุนมากขึ้นเป็นไตรมาสละ 2.5 ลบ. จากเดิมไตรมาสละ 3.5 แสนบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะขายเงินลงทุนใน TCI ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ส่งผลให้เราปรับประมาณการกำไรปี 66 ลดลง 10% สู่ 201 ลบ. -14%YoY
 

•    คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเหมาะสมลดลงสู่ 6.60 บาท เรามีมุมมองเป็นกลางต่อผลประกอบการปี 66 ที่ถูกกดดันจากต้นทุนผลิตที่ทรงตัวสูง แต่เริ่มทยอยดีขึ้นตั้งแต่ช่วง 2H66 เป็นต้นไป โดยเราประเมินราคาเหมาะสม TACC ราว 6.60 บาท ปรับลดลงเดิมที่ 7.60 บาท เนื่องจากปรับลดประมาณกำไรต่อหุ้นลงสู่ 0.33 บาท จากเดิม 0.38 บาท และอิง Prospective PER ที่ระดับ 20x ณ ระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี 

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวลง 25%YTD สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PER เพียง 13.7x และราคาหุ้นปัจจุบันยังคงมีอัพไซต์ราว 44% ประกอบกับเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา บริษัทมีมติซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินภายในวงเงินไม่เกิน 50 ลบ. จำนวนไม่เกิน 11 ล้านหุ้น ภายวันที่ 17 ส.ค.66 - 16 ก.พ.67 (ณ วันที่ 6 ก.ย. 66 ซื้อคืนไปแล้ว 1.44 ล้านหุ้น) โดยเรามองบวกต่อการซื้อหุ้นคืน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสะท้อนว่ามูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ถูกกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว 

นอกจากนี้ บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยและจ่ายปันผลในอัตรากว่า 7% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ความเสี่ยง

1) การแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่รุนแรง
2) รายได้กว่า 90% พึ่งพาร้าน 7-Eleven
3) ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ
 

วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.โกลเบล็ก TACC - ซื้อ