วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ ENERGY SECTOR โรงกลั่นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

วิเคราะห์หุ้นรายตัว :  บล.เคจีไอฯ ENERGY SECTOR โรงกลั่นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

เรายังให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานที่ Neutral โดยเลือก PTT Oil and Retail Business (OR.BK/OR TB)* และ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* เป็นสองหุ้นเด่นในกลุ่มนี้

ตลาน้ำมันดิบ: ซาอุดิอาระเบียจะลดการผลิตโดยสมัครใจ 1MBD ในเดือนกรกฎาคม 
 

เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะสูงขึ้น QoQ ใน 3Q66F เนื่องจาก i) OPEC+ ลดการผลิตโดยสมัครใจ 1.66MBD ใน 1H66, ii) ซาอุดิจะลดการผลิตโดยสมัครใจเพียงข้างเดียว 1MBD ในเดือนกรกฎาคม 2566 และ iii) OPEC คาดว่าอุปสงค์น้ำมันดิบโลกในปีนี้จะอยู่ที่ 101.9MBD (+2.35MBD YoY) โดยคาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น HoH ใน 2H66F ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากจีน แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยลบอย่างระมัดระวังใน 2H66F ซึ่งได้แก่ i) โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในซีกโลกตะวันตกหลังจากที่ธนาคารกลางหลายแห่งปรับขึ้นดอกเบี้ย และ ii) จะมีอุปทานน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจากประเทศ  นอกกลุ่ม OPEC+ โดยเฉพาะสหรัฐ ทั้งนี้ EIA คาดว่าผลผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 0.7MBDYoY เป็น 12.6MBD ในปี 2566F ตามรายงาน STEO ฉบับเดือนมิถุนายน ในขณะเดียวกันเรายังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2566F-2567F เอาไว้ที่ US$85/70/bbl แต่มองว่าประมาณการปีนี้ของเราอาจมี downside อีกประมาณ US$5/bbl จากความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

 

ตลาดโรงกลั่น: คาดว่า spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลจะดีขึ้น QoQ ใน 3Q66F

เราคาดว่าค่าการกลั่นจะดีขึ้น QoQ ใน 3Q66F เนื่องจาก spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น เพราะ i) โรงกลั่น Pernis Refinery ของ Shell ใน Rotterdam ซึ่งมีกำลังการผลิต 400KBD ปิดซ่อมบำรุงนอกแผนในช่วงต้นเดือนมิถุนายน, ii) เข้าสู่ช่วง driving season ของสหรัฐในเดือนกรกฎาคม และ iii) สต็อกน้ำมันกลุ่ม middle distillate ทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ

 

โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีย้อนหลัง แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าค่าการกลั่นใน 2Q66F จะลดลง QoQ เพราะ spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลลดลงอย่างมาก โดยใน 2QTD66 spread ของน้ำมันเครื่องบินลดลงถึง 48% QoQ เหลือ US$13.9/bbl และ spread ของน้ำมันดีเซลลดลงถึง 43% QoQ เหลือ US$14.5/bbl เนื่องจาก i) ผ่านช่วงที่อุปสงค์สูงตามฤดูกาลในหน้าหนาวไปแล้ว, ii) ไม่มีอุปสงค์พิเศษจากการที่ยุโรปเปลี่ยนจากการใช้ก๊าซไปใช้น้ำมันแทนอีก หลังจากที่ราคาก๊าซปรับลดลงมาแรง และ iii) มีการส่งออกน้ำมันดีเซลจากรัสเซียเพิ่มขึ้น เพราะสามารถกลับมาส่งออกโดยผ่านประเทศที่สาม

 

ตลาดปิโตรเคมี: ยังคงมองลบกับแนวโน้มของ olefins และ aromatics ใน 2H66F

เรายังเชื่อว่า spread ของ olefins และ aromatics จะถูกกดดันจากอุปทานใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมากในปีนี้ซึ่งได้แก่ PE 6.7MTA, PP 7.3MTA, PX 8.7MTA และ BZ 3.8MTA โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ PP ซึ่งคาดว่าจะมีอุปทานเพิ่มเข้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางมากถึง 4.5 ล้านตันใน 2H66F สูงขึ้นอย่างมากจาก 1.9 ล้านตันใน 1H66F ทั้งนี้ spread ของ PP ใน 2QTD66 ลดลงมาแล้ว 3% QoQ เหลือ US$394/ton แต่ spread ของ HDPE ใน 2QTD66 ฟื้นตัวขึ้น 8% QoQ เป็น US$427/ton ซึ่งspread ของทั้งสองผลิตภัณฑ์ยังถือเป็นระดับที่ต่ำ (ต่ำกว่า US$550/ton และ US$500/ton ตามลำดับ)  สำหรับในตลาด aromatics นั้น spread ของ PX และ BZ ใน 2QTD66 เพิ่มขึ้น 22% WoW เป็น US$423/ton และ 14% QoQ เป็น US$280/ton ตามลำดับ เนื่องจาก i) อุปสงค์แข็งแกร่งขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และ ii) มีการโรงงาน Shenghong ในจีนมีการปิดซ่อมบำรุงนอกแผนในปลายเดือนมีนาคม ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิต PX อยู่ที่ 2.8MTA

 

 

 

Valuation and action

เราเลือก OR และ SPRC เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้

ถึงแม้เราจะยังชอบแนวโน้มของตลาดสถานีบริการน้ำมันจากการที่กระทรวงพลังงานอนุมัติให้ขึ้นค่าการตลาดน้ำมันดีเซลในประเทศไทยจาก 1.40 บาท/ลิตร เป็น 1.80 บาท/ลิตร ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา แต่เราถอน PTG Energy (PTG.BK/PTG TB)* ออกจากพอร์ตหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานของเรา เพราะผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งหากประเทศไทยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วัน เราคาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ
PTG ประมาณ 0.08-0.10 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ประมาณการกำไรปี 2567F ของเรามี downside 16% แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าประมาณการกำไรปี 2567F ของ PTT Oil and Retail Business (OR.BK/OR TB)* ของเราจะได้รับผลกระทบเพียง 2% เท่านั้น เพราะบริษัทมีสัดส่วนสถานีบริการน้ำมันประเภท COCO เพียง 19% เท่านั้นใน 1Q66 ในขณะที่ของ PTG มีสูงถึง 84%

เนื่องจากเราคาดว่าค่าการกลั่นจะฟื้นตัวขึ้นใน 3Q66F เราจึงเชื่อว่า Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)*, ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)*, Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* และ Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* จะได้อานิสงส์ เพราะ EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่นของทุกบริษัทมีสัดส่วนสูงที่สุดที่ 100%, 80%, 60% และ 40% ตามลำดับ นอกจากนี้ เรายังพบว่า ESSO และ SPRC มีอัตราสัดส่วนผลผลิตน้ำมันเบนซินใน 1Q66 อยู่ในเกณฑ์สูงที่ 30% และ 25% ตามลำดับ ทำให้ทั้งสองบริษัทจึงน่าจะได้อานิสงส์มากที่สุดในภาวะที่ spread ของน้ำมันเบนซินสูงขึ้นอย่างโดดเด่นที่ประมาณ US$20/bbl ในปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงเพิ่ม SPRC เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงาน ในขณะที่ราคาหุ้น ESSO อาจจะยังถูกกดจากประเด็นที่ยังค้างคาอยู่ไปจนถึง 2H66 จากดีลที่ BCP จะซื้อหุ้น ESSO 65.99% จาก ExxonMobil ทั้งนี้ BCP ได้แจ้ง SET เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่าราคาซื้อเบื้องต้นล่าสุดในการเข้าซื้อหุ้น ESSO อยู่ที่ 9.94 บาท/หุ้น อิงจากงบการเงินงวด 1Q66 ของ ESSO

เราไม่ชอบ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* และ IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* เนื่องจากจะมีอุปทาน PE และ PP ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมากในปีนี้ แม้ว่าเราจะยังคงคำแนะนำถือหุ้นทั้งสองตัวก็ตาม นอกจากนี้ เรายังคงคำแนะนำถือ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* และ BANPU Pcl. (BANPU.BK/BANPU TB)* เพราะเรามองว่า สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้ของเรายังมี downside อีกประมาณ US$5/bbl จากโอกาสที่จะเกิด
ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และราคาถ่านหิน Newcastle ใน 2QTD66 ปรับลดลงมาแล้วถึง 34% QoQ เหลือ US$130/ton เนื่องจากผ่านช่วงที่อุปสงค์สูงตามฤดูกาลในหน้าหนาวไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงคำแนะนำซื้อ i) PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* เพราะคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2566F-2567F จะสูงที่ 6.3% และ ii) Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* เพราะคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการที่จีนใช้มาตรการการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรายได้จากจีนคิดเป็นประมาณ 5% ของรายได้รวมของ IVL ซึ่งสูงกว่าบริษัทพลังงานส่วนใหญ่ของไทย ยกเว้น BANPU (ประมาณ 15%)
และ PTTGC (ประมาณ 7%)