XO คาด 1H66 ชะลอตัวแต่ดีขึ้นใน 2H66 (31 มี.ค. 66)

XO คาด 1H66 ชะลอตัวแต่ดีขึ้นใน 2H66 (31 มี.ค. 66)

รายงานกำไร 4Q65 ที่ 81.8 ลบ. เติบโต 19.6%QoQ แต่หดตัว 44%YoY เนื่องจากวัตถุดิบปรับขึ้นราคา บริษัทมีรายได้ 4Q65 ที่ 386.1 ลบ. เติบโต 17%QoQ และเติบโต 3%YoY

โดยรายได้เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากมีการปรับขึ้นราคาขายเพิ่มขึ้น 8-12% ( ทยอยปรับราคาระหว่าง 4Q65-2Q66)  ขณะที่ %GPM อ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 43.4% สู่ 40.0% เนื่องจากรายได้ลดลงทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบทั้งน้ำตาล พริก และกระเทียมปรับตัวขึ้นกดดัน %GPM ด้านสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับตัวขึ้นจาก 18.1% ใน 3Q65 สู่ 21.7% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการทำ ERP และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่พนักงาน (ESOP) ซึ่งมีอายุ 3 ปี ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไรปี 65 ที่ 340 ลบ. หดตัว 26%YoY และต่ำกว่าที่เราคาดไว้ 2% 

-  คาดผลประกอบการ 1Q66 ชะลอตัวจาก 4Q65 :  ฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้ 1Q66 จะอ่อนตัวลง YoY และ QoQ เนื่องจากคู่แข่งหลักกลับมาดำเนินการผลิตตั้งแต่เดือน ก.ย. 65 และประชาชนในยุโรปเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ประกอบอาหารลดลง ขณะที่ %GPM มีโอกาสอ่อนตัวลงจากเนื่องจากรายได้ชะลอตัวและอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบทั้ง พริก กระเทียม และน้ำตาลปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้า %GPM ปี 66 ที่ 40% (%GPM ปี 65 อยู่ที่ 41.4%) แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นราคาขาย 8-12% ระหว่าง 4Q65-2Q66 เพื่อลดผลกระทบต้นทุนขายที่ปรับตัวขึ้น
 

-  คงประมาณการกำไรปี 66 ที่ 369 ลบ. เนื่องจากล็อกราคาวัตถุดิบจนถึงกลางปีแล้ว :  ฝ่ายวิจัยคงเป้ารายได้ปี 66 ที่ 1.56 พันลบ. เติบโต 7%YoY เนื่องจากมีการออกงานแสดงสินค้า 15-22 งานต่อปีเพื่อหาลูกค้าใหม่ และคงอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 40% เนื่องจากต้นทุนพริก กระเทียม และน้ำตาลยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น แต่บริษัทได้ล็อกราคาวัตถุดิบดังล่าวไปจนถึงกลางปี 66 ทั้งนี้ เราคงประมาณการกำไรปี 66 ที่ 369 ลบ. โดยคาดว่า 1H66 จะชะลอตัวและค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นใน 2H66 เนื่องจากการหาลูกค้าใหม่ต่อเนื่องและคาดว่าอุปสงค์จากประชาชนชาวยุโรปจะกลับมาสู่ภาวะปกติ (1H66 ประชาชนชาวยุโรปเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทำให้อุปสงค์ในวัตถุดิบประกอบอาหารที่บ้านลดลง) 

-  คงคำแนะนำ “ถือ” แต่ปรับลดราคาเหมาะสมสู่ 13.20 บาท :  ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PE ที่ระดับ PE ราว 15.5 เท่าลดลงจากครั้งก่อนที่ 18 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย PE Ratio ย้อนหลัง 1 ปี และคาดกำไรต่อหุ้นปี 66 ที่ 0.85 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมที่ 13.20 บาทลดลงจากราคาเหมาะสมครั้งก่อนที่ 15.60 บาท โดยราคาเหมาะสมที่ประเมินได้มี Upside จากราคาปิดล่าสุดไม่มากจึงคงคำแนะนำ “ถือ”

 

ความเสี่ยง
i)    ราคาวัตถุดิบปรับตัวขึ้น
ii)    ยุโรปเผชิญกับค่าครองชีพแพงจากต้นทุนพลังงานปรับตัวขึ้น
iii)    การแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุดลง