กลยุทธ์การลงทุน สรุปประเด็นสำคัญจากท่าทีล่าสุดของ ECB และ US Fed

กลยุทธ์การลงทุน สรุปประเด็นสำคัญจากท่าทีล่าสุดของ ECB และ US Fed

สรุปประเด็นของ ECB และ US Fed  จากการประชุมเมื่อเย็นวาน ทั้ง ECB และ Fed ต่างแสดงท่าทีนโยบายของตัวเองออกมาโดยในส่วนของ ECB นาง Lagarde ประธาน ECB กล่าวในปาฐกถาเรื่อง ‘วิถีข้างหน้า’ ว่าเงินเฟ้อในยุโรปยังสูงเกินไปและน่าจะต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าจะไม่มีการเลือกระหว่างความเสี่ยงของเงินเฟ้อ กับความเสี่ยงของเสถียรภาพทางการเงิน และ ECB พร้อมที่จะให้การสนับสนุนสภาพคล่องแก่สถาบันการเงินที่ประสบปัญหา

ในฝั่งของสหฐ FOMC ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 25bps เป็น 5.00% ตามคาด แต่อย่างไรก็ตาม กราฟ dotplot สร้างความแปลกใจให้ตลาด โดยคาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ 5.10% เหมือนกับการประชุมในเดือนธันวาคม 2565 และตีความได้ว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียงหนึ่งครั้งในเดือนพฤษภาคม 2023 นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของ FOMC ยังปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP ปี 2023 ลงจากเดิมที่ 0.5% เหลือ 0.4% ในขณะที่ปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ core PCE จาก 3.5% เป็น 3.6%

ที่น่าสังเกตคือความเห็นจากทั้งนาย Powell ประธาน Fed และ นาง Yellen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทำให้ตลาดเป็นกังวลและเกิด correction รอบใหม่เมื่อคืนนี้ โดยนาย Powell แสดงท่าทีระมัดระวังมากขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐหลังจากที่เกิดปัญหาความวุ่นวายในภาคธนาคารในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่นาง Yellen ยังคงเปลี่ยนท่าทีไปมาเกี่ยวกับการประกันเงินฝาก โดยเมื่อคืนนี้ นาง Yellen ส่งสัญญาณว่า FDIC ไม่น่าจะเพิ่มเพดานการค้ำประกันจากระดับปัจจุบันที่ 250,000 ดอลลาร์ฯ

 

 

 

มุมมองของฝ่ายวิจัยฯ

เรามองว่าความเห็นจากนาย Powell และนาง Yellen จะเป็นลบกับสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น หลังจากที่ตลาดคลายกังวลลงไปเมื่อหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐเตรียมเสริมสภาพคล่องให้สถาบันการเงิน และ UBS เข้าไปซื้อ Credit Suisse อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะประคองตัวได้ในระยะสั้น จากตลาดแรงงานที่ตึงตัว และแรงกดดันที่ลดลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ดังนั้น เราจึงยังคงมองว่าความวุ่นวายของภาคธนาคารรอบนี้จะไม่ลุกลามจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มที่

สำหรับแนวโน้มในระยะสั้น ยังคงเป็นอย่างที่เราระบุไว้ในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ 2Q66 ว่าพลวัตรของเศรษฐกิจโลกมีทั้งบวกและลบ แต่ยังคงมีความคาดหวังด้านบวกกับปัจจัยภายในประเทศ จากการจัดเลือกตั้ง และแรงหนุนจากกระแสการลงทุนของนักลงทุนในประเทศ เราเชื่อว่าดัชนี SET สร้างจุดต่ำสุดไปแล้วที่ประมาณ 1,520 จุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และแนะนำให้นักลงทุนซื้อสะสมในช่วงที่ตลาดผันผวนอยู่ในขณะนี้ เรายังคงเป้าดัชนี SET ปี 2566 เอาไว้เท่าเดิมที่ 1,730 จุด (PE เป้าหมายที่16.0x) และเน้นกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภค การเลือกตั้ง และผลประกอบการมีแนวโน้มจะพลิกฟื้น ซึ่งหุ้นเด่นได้แก่ AOT*, BDMS*, ERW, CPN*, AP*, LH*, WHA* และ PTG*