LALIN คาดผลการดำเนินงานปี 2566 กลับมาเติบโต 15%YoY

LALIN คาดผลการดำเนินงานปี 2566 กลับมาเติบโต 15%YoY

กำไรงวด 4Q65 เท่ากับ 306 ล้านบาท +2%QoQ, -19%YoY ส่วนกำไรปี 65 -8%YoY งวด 4Q65 บริษัทมีรายได้จากการโอน 1,511 ล้านบาท +0.7%QoQ, -14%YoY

รายได้ที่ลดลงสาเหตุหลักจากการก่อสร้างที่ล่าช้า การขาดแคลนแรงงาน ฝนที่ตกมากกว่าปกติ และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวขึ้น  แม้ส่งผลต่อกระทบต่อรายได้แต่ยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ระดับ 39% ทรงตัว YoY และ QoQ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (%SG&A/Sales) เท่ากับ 10.2% ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY จากการทำการตลาดในการเปิดโครงการใหม่ เทียบกับระดับ 8.6% ใน 4Q64 แต่ใกล้เคียง QoQ ที่ 10.5% ใน3Q65 มีอัตรากำไรสุทธิ (NPM) เท่ากับ 20.3% ทรงตัว QoQ ที่ระดับ 20.0% ใน 3Q65 แต่ลดลง YoY เมื่อเทียบกับใน 4Q64 ที่ระดับ 21.5% ส่งผลให้ทั้งปี 65 บริษัทมีรายได้เท่ากับ 6,220 ล้านบาท -5%YoY %GPM ที่ระดับ 39% ใกล้เคียงปี 64 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ราว 33% และกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,271 ล้านบาท -8%YoY คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 20.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่บริเวณราว 12-13% ด้านฐานะการเงินยังแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ณ ปลายงวดปี 65 เท่ากับ 0.55 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมที่ระดับ 1.4 เท่า
 

LALIN คาดผลการดำเนินงานปี 2566 กลับมาเติบโต 15%YoY

-  ปี 66 มีแผนเปิดโครงการใหม่ 10-12 โครงการมูลค่ารวม 7-8 พันล้านบาท: ในช่วง 2M66 มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 5 โครงการ และโครงการที่มีแผนเปิดแน่นอนแล้วจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1. Lanceo CRIB วงแหวน  – รังสิต คลอง 4 มูลค่าโครงการ 1,550 ลบ. 2. Baan LALIN อ่อนนุช – สุวรรณภูมิมูลค่าโครงการราว 600 ลบ. 3. Lalin Town ทำเลวงแหวน ลำลูกกา คลอง 6 มูลค่าโครงการราว 1,500 ลบ. และ4. LIO2 ทำเลรังสิต – คลอง 2 มูลค่าโครงการราว 1,000 ลบ. ทำให้ในช่วง 1H66 บริษัทจะเปิดโครงการได้ราว 5 โครงการ และในช่วง 2H66 อีกราว 5-7 โครงการ รวมทั้งปี 2566 บริษัทจะสามารถเปิดโครงการได้ทั้งสิ้นราว 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7-8 พันลบ. โดยมีมูลค่าใกล้เคียงกับโครงการที่เปิดในปี 65 บริษัทเน้นโครงการแนวราบที่เป็น Real Demand และเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด แบรนด์ “Lanceo” ระดับราคา 3-6 ล้านบาท แบรนด์ “Lalin Prestige” ระดับราคา 5-8 ล้านบาท และแบรนด์ “Lalin Greenville” ระดับราคา 8-12 ล้านบาท ทาวน์โฮมมี 2 แบรนด์หลัก คือ แบรนด์ “Lio” ระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ “Lio Prestige” ระดับราคา 2.5 – 3.5 ล้านบาท ในปี 66 บริษัทตั้งเป้ายอดขาย Presale ราว 8.6 พันล้านบาท 
 

- ประมาณการกำไรปี 66 เท่ากับ 1,460 ลบ. เติบโต 15%YoY: เราคาดการณ์รายได้จากการขายปี 66 เท่ากับ 6,940 ล้านบาท เติบโต 12%YoY มาจากการเปิดโครงการใหม่ 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7-8 ลบ. โดยเราคาดอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ 39.0% ทรงตัว YoY ทำให้เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 1,460 ล้านบาท พลิกเติบโต 15%YoY จากที่ชะลอตัวในปี 65 ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ ปลายงวด 4Q65 ราว 1 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 66 

-  คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมเท่ากับ 11.30 บาท: ในการประเมินราคาเหมาะสมอิง Prospected PER ที่ระดับ 7.2 เท่าซึ่งเป็นระดับ +1.0SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ระดับ 15.9 เท่า  จากการประเมินกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 66 ที่ 1.58 บาทได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 11.30 บาท มี upside จากราคาปัจจุบัน ราว 31% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 7.3% ต่อปีอยู่ในระดับสูงน่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” 

 

ปัจจัยเสี่ยง 

1.    อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทำให้กำลังซื้อลดลง
2.    ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง
3.    ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น
4.    การพัฒนาโครงการมีความล่าช้า