ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯดีกว่าคาด ลดความกังวลการเกิดเศรษฐกิจถดถอย

ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯดีกว่าคาด ลดความกังวลการเกิดเศรษฐกิจถดถอย

สหรัฐฯ รายงาน GDP ไตรมาส 4/65 ที่ 2.9% สูงกว่าคาดที่ 2.8% และลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 3/65 ที่ 3.2% ตัวเลขที่ดีกว่าคาดสะท้อนแรงหนุนผู้บริโภคในช่วงสิ้นปี 2565

ขณะที่ช่วยลดความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเกิดการถดถอย (recession) ซึ่งจากการที่ตลาดในปัจจุบันไม่ได้กังวลเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ มากนัก จากเงินเฟ้อที่น่าจะลดลงไปอย่างน้อยจนสิ้นครึ่งปีแรก (แต่มีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หากจีนประสบความสำเร็จในการเปิดเมืองได้อย่างรวดเร็ว) ดังนั้นเรายังคงมุมมองว่าภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยงในครึ่งปีแรก ยังมีแนวโน้มผันผวนหรือปรับขึ้นในทางบวก ขณะที่ระวังความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มมากขึ้นในครึ่งปีหลัง สำหรับหุ้นไทย เรามองการปรับลดลงในโซน 1,650-1,670 จุด เป็นจังหวะทยอยเข้าลงทุน

 

หุ้นไทยยังเห็นการหมุนกลุ่มและความระวังในกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการอาจอ่อนแอ วานนี้มีแรงขายทำกำไรออกมาในหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มการเงิน (เช่าซื้อและจำนำทะเบียน) หลังตลาดประเมินกนง.น่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงาน 2)โรงไฟฟ้า และ 3) ปิโตรเคมี ซึ่งมาจากคาดการณ์ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ // ทั้งนี้สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้า ผลของต้นทุนค่าก๊าซที่สูงยังส่งผลต่อมายังไตรมาส 4/65 ก่อนที่ต้นทุนก๊าซที่ลดลงจะเริ่มเห็นในไตรมาส 1/66 การปรับลดลง BGRIM (ซื้อ ราคาเหมาะสม 50 บาท) จะน่าสนใจกว่า GPSC (ถือ ราคาเหมาะสม 70 บาท) ที่ผลการดำเนินงานจะยังถูกถ่วงจากการปิดซ่อมโรงไฟฟ้าบางแห่งในไตรมาส 1/66 ซึ่งจะทำให้ฟื้นช้ากว่า / สำหรับกลุ่มปิโตรเคมี คาดผลการดำเนินงานต่ำสุดแล้วในไตรมาส 4/65 และเป็นกลุ่มที่มีโอกาสได้ผลบวกจากการที่จีนกลับมาเปิดประเทศ หุ้นที่เราชอบที่สุดคือ PTTGC (ซื้อ ราคาเหมาะสม 62 บาท)
 

 

 

ประเด็นลงทุนที่น่าสนใจ 1) ฟื้นตัวจากเศรษฐกิจและเปิดเมือง BBL, SCB, MINT, SPA, VRANDA, TNR, KISS, CPN, CRC, CPALL, MAKRO, MAJOR 2) หุ้นได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว (พลังงาน ปิโตรเคมี บรรจุภัณฑ์) ได้แก่ PTTGC, IRPC, SCGP, AJ, PTL, SCC, PTTEP, PTT 3) กลุ่มบริโภคและการย้ายฐานการผลิต ได้แก่ WHA, AMATA, ROJNA 4) การขายไฟพลังงานทดแทน 5200MW GULF, GUNKUL, BCPG, SSP, BGRIM, GPSC, EGCO 5) หุ้นที่น่าสนใจอื่นๆ DMT, TVDH, FLOYD, SORKON 6) กลุ่มน้ำตาล เข้า high season และปริมาณการผลิตไทยสูงสุดในรอบ 3 ปี ดีกับ KSL, KTIS, KBS, BRR

ภาพรวมกลยุทธ์: บรรยากาศการซื้อขายในเอเชียมีแนวโน้มคึกคักขึ้นหลังหลายทยอยกลับมาเปิดการซื้อขายหลังหยุดตรุษจีน การเก็งกำไรระยะสั้นเน้นหุ้นที่ยัง Laggard และเปิดเมืองที่ยังขึ้นน้อย รวมถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนพลังงานที่จะลดลง //หุ้นแนะนำ: BJC*, BGC*,  MAJOR, TVDH*

แนวรับ: 1,670 และ 1,650 / แนวต้าน : 1,680-1,688 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 


 

ประเด็นการลงทุน

สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 - เพิ่มขึ้น 2.3% สู่ระดับ 616,000 ยูนิตในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 617,000 ยูนิต จากระดับ 602,000 ยูนิตในเดือนพ.ย.

สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพุ่งเกินคาด – ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 5.6% ในเดือนธ.ค. หลังจากร่วงลง 1.7% ในเดือนพ.ย.

สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานลดลง - ลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 186,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 205,000 ราย

ประธาน ECB ยันจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป – อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน แต่ยังคงสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ ECB อยู่พอสมควร

KBANK ปิดดีลขาย บลจ.กสิกรไทย (KAsset) ให้กับ กลุ่มอมุนดิ – ซึ่งเป็นกองทุนยักษ์ใหญ่ของยุโรป สัดส่วน 49% ด้วยมูลค่าอาจสูงถึง 3 หมื่นลบ. 16 ก.พ. บลจ.กสิกรไทยจะแถลงข่าวแผนธุรกิจ

KBANK แจ้งเป้าหมายทางการเงินปี 2566 – คาด NIM ดีขึ้นเป็น 3.3-3.45% (จากปี 65 ที่ 3.33%), สินเชื่อโตเป็น 5-7% (จากปี 65 ที่ 3.03%), Net fee income growth ทรงตัว (จาก -6.89%), Cost to income ratio คาด low to mid-40s (จาก 43.15), Credit cost ที่ 175-200 bps (จาก 211 bps), NPL Ratio (Gross) น่าจะน้อยกว่า 3.25% (จาก 3.19%)

GFPT รับเงินช่วยเหลือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน -  จำนวนไม่เกิน 300 ลบ. อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี โดยเป็นเงินกู้ระยะยาว ไม่มีหลักประกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.66 - 31 ม.ค.73 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและสนับสนุนโครงการขยายกิจการของกลุ่มบริษัท

 

ประเด็นติดตาม:  27 ม.ค. – US Core PCE Price Index, Pending Home Sales 31 ม.ค. - CB Consumer Confidence / 1 ก.พ. – EU CPI, ISM Manufacturing PMI, Fed Interest  / 2 ก.พ. - ECB Interest Rate Decision / 3 ก.พ. – Nonfarm Payrolls, ISM Non-Manufacturing PMI

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)