Sideways ระยะสั้น โดยมีจุดขายทำกำไรบริเวณ 1,690 จุด

Sideways ระยะสั้น โดยมีจุดขายทำกำไรบริเวณ 1,690 จุด

คาดดัชนีฯ Sideways แนวรับ 1,672/1,660 จุด แนวต้าน 1,690/1,700 จุด ทางเทคนิค แม้ SET Index มีความพยายามขึ้นไปยืนเหนือ 1,690 จุด แต่กลับเผชิญแรงขาย จนกระทั่งพลิกกลับมาปิดลบ ทำให้ดัชนีฯ ยังคงอยู่ในช่วงพักฐานโดยมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,670–1,690 จุด

เชิงกลยุทธ์ ยังคงแนะนำ Trading Buy ระยะสั้น โดยมีจุดขายทำกำไรบริเวณ 1,690 จุด โดยเน้นหุ้นกลุ่ม Reopening ซึ่งราคาหุ้นมีโมเมนตัมเชิงบวก จากการอนุมัติมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5” และกลุ่มที่ได้ประโยชน์ก่อนการเลือกตั้ง เช่น กลุ่มบริการรับเหมำก่อสร้าง หุ้นแนะนำ MAKRO PLANB STEC

 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ

+ KTX Big Cap Portfolio: AWC BGRIM CENTEL BH BEM CPALL AOT BBL HANA CPN TTB BDMS PLANB SABUY

+ Daily Recommendations: MAKRO (แนวรับ 42.00/41.25 บาท แนวต้าน 43.75/44.75) PLANB (แนวรับ 8.50/8.25 บาท แนวต้าน 8.95/9.25 บาท) STEC (แนวรับ 14.10/13.60 บาท แนวต้าน 14.80/15.20 บาท)

+ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทแข็งค่า: กลุ่มนำเข้า (COM7 TOA SYNEX) กลุ่ม หนี้ต่างประเทศสูง สายการบิน (AAV) โรงไฟฟ้า (GPSC GULF BGRIM)

+ หุ้น 4Q22E Earnings Play: COTTO SINGER EPG PTG NEX ESSO BAFS JMT THANI SNNP M PRINC EKH MFEC HUMAN PLANB PTTGC IMPACT SA SC ORI JWD FSMART PJW IIG

 

ปัจจัยบวก

+ Thailand: ครม. อนุมัติงบ 3,946.44 ล้านบาท ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 5 และมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เช่น กลุ่มโรงแรม และสายการบิน รวมถึงหุ้นกลุ่ม Domestic Play ซึ่งจะได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มอาหาร

 

 

ปัจจัยลบ

- Thailand: สัญญาณการอ่อนค่าของค่าเงินบาทวานนี้ จากระดับ 32.62 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ มาปิดที่ 32.83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติยังมีโอกาสขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย เพื่อทำกำไรจากตลาดหุ้นและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง FX Loss หลังจากวานนี้ขายสุทธิ -903.28 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 ในรอบ 3 วันทำการที่ผ่านมา) และเปิดสถานะ Short สุทธิใน SET50 Index Futures 7,378 สัญญา (เปิด Short เป็นวันที่ 3 ในรอบ 4 วันทำการที่ผ่านมา)

 

ประเด็นสำคัญ

- US: Earnings Results: Tesla Boeing IBM AT&T Kimberly-Clark

- Thailand: ผลประชุมกนง. คาดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.5%

- MASTER: เข้าซื้อขายวันแรกในตลาด MAI หมวดบริการ ดำเนินธุรกิจสถานพยาบาลด้านความงาม จำนวน 65 ล้านหุ้น @ 46 บาท

- วันหยุดเทศกาลตรุษจีน: ตลาดหุ้นจีน และ HSKI ปิดทำการ

 

Global Market Summary: วันทำการที่ผ่านมา

- ตลาดหุ้นไทยกลับมาปิดลบ: ตลาดหุ้นไทยผันผวน โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงเปิดตลาดที่ 1,693.97 จุด +9.93 จุด ก่อนเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways Down กรอบ 1,685-1,690 จุด และอ่อนตัวลงมาปิดตลาดใกล้ระดับต่ำสุดของวันที่ 1,682.94 จุด -1.10 จุด วอลุ่ม 5.7 หมื่นล้านบาท นำลงโดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์ -2.5% วัสดุก่อสร้าง -1.09% การแพทย์ -0.74% ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -0.73% หุ้นบวก >4% FORTH FSMART DITTO TEAMG TH WICE BWG STI หุ้นลบ >4% PTG TEAM BYD RBF STPI

 

 

 

+/- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรปปิดคละ: DJIA +0.31% S&P500 -0.07% NASDAQ -0.27% โดยหุ้น 6 ใน 11 กลุ่มอุตสาหกรรมที่คำนวณดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มสาธารณูปโภค +0.65% และ +0.49% แต่กลุ่มสื่อสารและเฮลท์แคร์ นำลง -0.69% และ -0.65% ขณะที่ DJIA ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ขานรับผลการดำเนินงานที่ดีเกินคาดของ GE J&J Verizon แต่ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน หลังจากมีการประกาศระงับซื้อขายหุ้นของหลายสิบบริษัท เช่น มอร์แกน สแตนลีย์, เวอไรซอน คอมมูนิเคชันส์, เอทีแอนด์ที, ไนกี้ และแมคโดนัลด์ เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ส่งผลให้ S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดในแดนลบ ส่วนหุ้นยุโรปปิดคละ CAC-40 +0.26% DAX -0.07% FTSE -0.35% โดยตลาดกังวลว่าการปรับสูงขึ้นของ PMI Index ของยูโรโซน (เดือน ธ.ค. ที่ 48.8 vs เดือน พ.ย. 47.8) กระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ECB อาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

+/- ราคาน้ำมันดิบปิดลบ ส่วนทองคำปิดบวก: WTI -USD1.49 ปิดที่ USD80.13/บาร์เรล Brent -USD2.06 ปิดที่ USD86.13/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย หลังจาก PMI Index ของสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะหดตัว รวมทั้งข้อมูลจากสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ม.ค. สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์จะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล ส่วนราคาทองคำปิดบวกต่อเนื่อง +USD6.80 ปิดที่ USD1,935.40/ออนซ์ จากการอ่อนค่าของสกุลเงิน USD -0.19% แตะ 101.915 และการคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25%

 

ประเด็นสำคัญ

+ Thailand: ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทยของเจพีมอร์แกน เปิดเผยว่า เงินบาทไทยที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้จะช่วยพลิกฟื้นการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ทรุดตัวลงในช่วงที่ผ่านมา และหนุนบริษัทไทยในการซื้อกิจการในต่างประเทศ

- Thailand: ดุลการค้าเดือน ธ.ค. ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 แต่ใกล้เคียงกับคาดการณ์ของตลาด โดยขาดดุล -USD1.03bn. Vs คาด -USD1.06bn. แต่ดีกว่าเดือน พ.ย. ที่ขาดดุล -USD1.34bn. โดยการขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้น เป็นผลจากส่งออกเดือน ธ.ค. เติบโตลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 -14.6% YoY (Vs คาด -11.5% YoY และเดือน พ.ย. -6% YoY) เป็น USD21.72bn. เนื่องจากผลกระทบจาก Global Economic Slowdown และมาตรการคุมเข้ม เพื่อป้องกัน COVID-19 ของจีน แต่นำเข้าลดลงมากสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2020 ที่ -12% YoY (Vs -8% YoY และเดือน พ.ย. +5.6% YoY) เป็น USD22.75bn. เนื่องจาก Domestic Demand ลดลง จากต้นทุนสินค้าที่ปรับสูงขึ้น ส่วนทั้งปี 2022 ส่งออกเติบโต +5.5% เป็น USD287bn. สูงกว่าเป้าหมาย 4% ของทางการ ส่วนนำเข้าเติบโต +13.6% YoY ส่งผลดุลการค้าปี 2022 ขาดดุล USD16.12bn. (ธปท. และสภาพัฒน์ คาดส่งออกปี 2023E เติบโต 1% ส่วนนำเข้าปี 2023E เติบโต 0.4%-1.6%)

- World Bank: ธนาคารโลก ระบุแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโตอย่างมาก ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น การลงทุนลดลง และภาวะชะงักงันที่เกิดจากสงครามในยูเครน จะส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างหนัก โดยคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะเติบโต 1.7% ในปี 2023E และ 2.7% ในปี 2024E

- US: เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 46.6 ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 45.0 ในเดือน ธ.ค. อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐฯ อยู่ในภาวะหดตัว โดยถูกกดดันจากคำสั่งซื้อใหม่ ซึ่งปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ขณะที่การจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่าความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ Trading Buy (โดยมีจุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนำรายสัปดาห์: CRC CPN AOT

หุ้นแนะนำเก็งกำไร: MAKRO PLANB STEC

Derivatives: wait&see