กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ ยังถูกกดดันจากปัจจัยในประเทศจีน แต่ความเสี่ยงทางลงมีน้อย

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ ยังถูกกดดันจากปัจจัยในประเทศจีน แต่ความเสี่ยงทางลงมีน้อย

ตลาดน่าจะพักฐานต่อในระยะสั้น แต่ยังแนะนำให้ถือหุ้นต่อ / ทยอยสะสม

ในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบ ๆ โดยมีทั้งปัจจัยบวกและลบ ซึ่งปัจจัยบวก ได้แก่ ความคาดหวังว่า Fed จะชะลอจังหวะการขึ้นดอกเบี้ย ในขณะที่ปัจจัยลบได้แก่ สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศจีน และราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ในขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มที่เน้นธุรกิจในประเทศยังฟื้นตัวได้ดี หลังจากที่ GDP ของไทยใน 3Q65 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึง 4.5% YoY และมีแนวโน้มจะเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 4Q65 ทั้งนี้ เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพราะดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง ดังนั้น นักลงทุนต่างชาติจึงยังคงซื้อสุทธิหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว และช่วยพยุงให้ตลาดหุ้นไทยไม่ตกหนักมากนัก

 

สำหรับแนวโน้มในสัปดาห์นี้ เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะพักฐานต่อ เพราะอย่างที่เราเคยกล่าวถึงไปแล้ว ว่าตลาดการเงินโลกสะท้อนความคาดหวังว่า Fed จะชะลอจังหวะการขึ้นดอกเบี้ย และอาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราวใน 1Q66 ไปมากแล้ว ดังนั้น ตลาดยังคงอยู่ในธีมของความคาดหมายว่าค่าเงินดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังจะผ่านจุดสูงสุดไป ซึ่งถือเป็นบวกกับสินทรัพย์เสี่ยงในระยะกลางถึงยาว แต่อาจจะไม่ช่วยขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะสั้น ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 ของจีน และการที่นักลงทุนรายย่อยหายไปจากตลาดทำให้เราเชื่อว่าดัชนี SET น่าจะยังขึ้นต่อไม่ได้ไปอีกสักพัก แต่เรายังคงมองบวกในระยะยาวจากการที่ GDP ไทยฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

 

 

 

ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ และไทย รวมถึงการประชุม กนง. เพื่อพิจารณาดอกเบี้ย

ปัจจัยภายนอก: ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐจะเป็นตัวกำหนดท่าทีก่อนการประชุม FOMC ในสัปดาห์นี้ จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐสองสามตัว ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดท่าทีก่อนการประชุม FOMC ในวันที่ 14 ธันวาคม โดยจะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ core PCE เดือนตุลาคมในวันที่ 1 ธันวาคม ซึ่ง consensus คาดว่าจะชะลอลงมาอยู่ที่ 5.0% YoY จาก 5.1% YoY ในเดือนกันยายน นอกจากนี้ นักลงทุนยังควรติดตามตัวเลขที่สำคัญอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น ISM ภาคการผลิตที่จะประกาศในวันที่ 1 ธันวาคม และรายงานการจ้างงานรายเดือนในวันที่ 2 ธันวาคม

ปัจจัยภายในประเทศ: ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนตุลาคม และการตัดสินดอกเบี้ยนโยบายของกนง.
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ธนาคารแห่งประเทศไทยจะรายงานข้อมูลเศรษฐกิจเดือนตุลาคม และผลการประชุม กนง. ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของเราคาดว่า กนง. จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25bps เป็น 1.25% และส่งสัญญาณว่าจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก แต่จะเป็นการขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในปี 2566 ในขณะเดียวกัน นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทยเกี่ยวกับกระแสข่าวว่านายกฯ ประยุทธ์อาจจะย้ายไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่

 

 

หุ้นกลุ่มธนาคาร และการบริโภคน่าสนใจ ในขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวอาจจะขึ้นได้จำกัดในระยะสั้น

โดยสรุปแล้ว เรายังคงมองว่าธีมการลงทุนระยะกลางถึงยาวยังคงเป็นเรื่องของเงินเฟ้อที่กำลังผ่านจุดสูงสุด, การที่ Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว และภาวะเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะช่วยจำกัด downside ของตลาด ดังนั้น การที่ตลาดพักฐานในระยะสั้นจึงเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อสะสม เรายังคงชอบหุ้นกลุ่มธนาคาร และการบริโภคมากที่สุด โดยหุ้นเด่นของเราได้แก่ BBL*, KTB*, CPALL*, HMPRO*, PLANB* และ PTG* สำหรับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เรามองว่าข่าวลบเกี่ยวกับ COVID-19 ในประเทศจีนอาจจะกดดันหุ้นกลุ่มนี้ในระยะสั้น แต่ก็อาจะเป็นจังหวะดีที่จะเข้าซื้อสะสม AOT*, BDMS* และ ERW* เพราะเรามองว่าข้อจำกัดของจีนอาจจะไม่รุนแรง และมีผลบังคับใช้เพียงไม่นาน