SCC - รออุปสงค์ฟื้น (วันที่ 7 ตุลาคม 2565)

SCC - รออุปสงค์ฟื้น (วันที่ 7 ตุลาคม 2565)

คาดกำไรสุทธิใน 3Q ที่ 2.2 พันลบ. -78% qoq, -68% yoy spread เคมีภัณฑ์อ่อนแอ จีนใช้มาตรการ lockdown และอุปทานใหม่ตลาดทำให้ spread ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ลดลง ดันให้ break-even cost ของ HDPE เพิ่มขึ้นเป็น US$500/t break-even cost ปัจจุบัน US$500/t จากพอร์ต HVA สัดส่วน 35%

แนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 330 บาท

 

คาดกำไรสุทธิ 3Q ที่ 2.2 พันลบ. (EPS 1.80 บาท) -78% qoq และ -68% yoy

กำไรสุทธิลดลงทั้ง qoq และ yoy จาก spread เคมีภัณฑ์อ่อนแอ spread ของ  PE และ PP ลดลง qoq เหลือ US$390/t และ US$358/t ใน 3Q ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 1.6 พันลบ. คาดปริมาณยอดขาย (PE, PP) ทรงตัว qoq ที่ 425k ตัน ขณะที่คาดอุปสงค์ปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น 5% yoy จากอุปสงค์ของกลุ่มที่อยู่อาศัย และอาคารเพื่อการพาณิชย์เพิ่มขึ้น ส่วนอุปสงค์ภาครัฐ (40% ของอุปสงค์รวม) ยังแข็งแกร่ง ทั้งนี้การฟื้นตัวของอุปสงค์ยังชะลอจากฐานในปีก่อน (-12% yoy) คาดรายได้ Equity income ลดลง 9% qoq เหลือ 3.0 พันลบ. จาก spread อ่อนแอ ขณะที่การดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์น่าจะยังอ่อนแอเพราะอุปสงค์ที่อ่อนแอจากการที่จีนยังใช้มาตรการ lockdown อยู่

อุปสงค์ที่อ่อนแอทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของเคมีภัณฑ์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ

3Q22 เป็นไตรมาสที่ยากลำบากของ SCC เพราะอุปสงค์ยังอ่อนแอจากการที่จีนใช้มาตรการ lockdown และ CBM ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ อุปสงค์จากจีนคิดเป็นสัดส่วน 30% ของอุปสงค์เคมีภัณฑ์ทั้งโลก และสถานการณ์ยังถูกซ้ำเติมจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนอีก นอกจากนี้ อุปทานใหม่จะกดดันราคาผลิตภัณฑ์ และทำให้ spread ของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก รวมถึง spread ของ by-product ต่าง ๆ ด้วย เรามองว่าสถานการณ์ในช่วงนี้ตึงมือยิ่งกว่าในอดีตซึ่ง spread ของ by-product บางตัวยังยืนได้ ดังนั้น break-even cost ของทั้งอุตสาหกรรมจึงขยับเพิ่มขึ้นเป็น US$500/t จาก US$400/t ในอดีต ทั้งนี้ SCC มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ HVA อยู่ที่ 35% ของพอร์ตเคมีภัณฑ์ทั้งบริษัท ซึ่งมี spread สูงกว่าผลิตภัณฑ์เกรด commodity US$100/t ทำให้ break-even cost ของ SCC ใกล้ ๆ กับ US$500/t ในขณะที่ผู้ผลิตหลายรายได้ลดอัตราการใช้กำลังการผลิตลง 20% แต่ SCC ลดลงเพียง 15% ตั้งแต่ 2Q   

 

คงคำแนะนำ ถือ HOLD และประเมินราคาเป้าหมาย DCF ที่ 330 บาท  

ผู้บริหารคาดว่าความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ที่ LSP เมื่อกลางเดือนกันยายนจะน้อยมาก และไม่น่าจะทำให้กำหนดการใน 2Q23 ต้องเลื่อนออกไป เราประเมินราคาเป้าหมาย DCF ที่ 330 บาท อิงจาก PE ปี FY22/23F ที่ 13.2x/12.8x และคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 3.7%/3.5%