ราคาทองพุ่งแตะระดับสูงสุดรอบ 2 เดือน เหตุวิตกนโยบายทรัมป์-ดอลลาร์อ่อนค่า

รอยเตอร์สรายงานตลาดทองคำโลกวันอังคาร (21 ม.ค.) ว่า ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot Gold) พุ่งขึ้น 1.3% สู่ระดับ 2,742.57 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน และใกล้แตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790.15 ดอลลาร์ที่ทำไว้ในเดือนตุลาคม

ขณะที่ ราคาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐ (Gold Futures) เพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับ 2,757.80 ดอลลาร์

ดัชนีดอลลาร์ร่วงลง 0.9% เข้าใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ในการซื้อขายก่อนหน้า ส่งผลให้ผู้ถือสกุลเงินอื่นสามารถซื้อทองคำแท่งได้ในราคาที่ถูกลง

“การเคลื่อนไหวในวันนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปของสหรัฐ หลังจากการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีที่อาจเกิดขึ้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” แดเนียล กาลี นักกลยุทธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์จาก TD Securities กล่าว

ทรัมป์ประธานาธิบดีที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรที่จะเก็บกับทุกประเทศหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับคู่ค้าที่สำคัญ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญในช่วงการรณรงค์หาเสียงของเขา

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโกในเร็วที่สุดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์

เมื่อมองย้อนหลังไป ในปีแรกของการบริหารสมัยแรกของทรัมป์ในปี 2017 ราคาทองคำแท่งเพิ่มขึ้น 13% ต่อปี ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นสูงที่สุดในรอบ 7 ปี

ทองคำแท่งถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในช่วงที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความไม่แน่นอน แต่โดยทั่วไปแล้ว นโยบายที่ทรัมป์เสนอมาจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นเวลานานขึ้นเพื่อควบคุมแรงกดดันด้านราคา อัตราดอกเบี้ยที่สูงส่งผลกระทบทางลบต่อราคาสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย

“ตลาดน่าจะมองไปข้างหน้าถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน FOMC ในสัปดาห์หน้าและข้อมูลการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ” ปีเตอร์ แกรนท์ รองประธานและนักกลยุทธ์โลหะอาวุโสของ Zaner Metals กล่าว

“ผมไม่คิดว่าจะมีใครคาดหวังว่าเฟดจะทำอะไรในสัปดาห์หน้า แต่แน่นอนว่าคำแถลงนโยบายจะถูกพิจารณาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับแนวทางในช่วงที่เหลือของปี”