ยังเลือกเก็งกำไรรายตัว เน้นกลุ่มได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง

ยังเลือกเก็งกำไรรายตัว เน้นกลุ่มได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง

ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาดี เป็นสัญญาณบวกหนุนเศรษฐกิจโลกและเอเชีย จีนรายงาน GDP ไตรมาส 1/66 ที่ 2.2% QoQ และ 4.5% YoY ดีกว่าคาดการณ์ที่ 2.0% QoQ และ 4.0% YoY  ขณะที่ยอดค้าปลีก มี.ค. เติบโต +10.6% (ดีกว่าคาดการณ์ที่ +7.5%)

ขณะที่ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ มี.ค. +7.1% (ดีกว่า ก.พ.ที่ +3.5%) ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ดีจากการเปิดเมือง เป็นปัจจัยบวกสำคัญที่จะกระตุ้นการบริโภค การจับจ่ายและการอออกท่องเที่ยวของชาวจีน ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเอเชียในปีนี้ อีกทั้งการฟื้นของจีนทำให้เงินหยวนแข็งค่า ช่วยให้ค่าเงินเหรียญฯ ระยะสั้นอ่อนค่าลง 

เริ่มเทศกาลผลประกอบการไตรมาส 1/66 อย่างเป็นทางการ โดยมีบริษัทในกลุ่มการเงินที่เริ่มรายงานผลประกอบการได้แก่ 1) TISCO รายงานกำไร 1,793 ล้านบาท กำไรทรงตัว QoQ และ YoY ค่อนข้างเป็นไปตามตลาดคาด สินเชื่อเติบโตขึ้น +0.5% QoQ และ +8% YoY จากสินเชื่อจำนำทะเบียน ขณะที่ยอดปล่อยกู้ SME ลดลง 9 YoY ทางพื้นฐานเราแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสม 116 บาท 2) KTC รายงานกำไร 1,872 ล้านบาท +12.4% QoQ และ +7.1% YoY เป็นไปตามที่ตลาดคาด รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ +14.5% YoY แต่ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ลดลงเหลือ 13.2% (จากไตรมาส 4/65 ที่ 13.8% แต่ใกล้ไตรมาส 1/65 ที่ 13.1%) เราปรับลดคาดการณ์กำไรปี 66-67 ลง 6.5% และ 8.7% จากต้นทุนทางการเงินและแนวโน้มหนี้เสียที่แย่ลง ปรับลดราคาเหมาะสมลงเหลือ 54 บาท (จาก 58 บาท) และแนะนำถือ

 


 

คาดตลาดในภาพรวมเคลื่อนไหวจำกัด โดยจะเป็นการหมุนกลุ่มและเก็งกำไรรายตัวเป็นหลัก ภาพรวมหุ้นโลกในแต่ละตลาดเคลื่อนไหวจำกัดตามแนวโน้มการรายงานผลประกอบการของหุ้นรายตัวในแต่ละประเทศ เราคาดเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยนโนยบายเป็น 5.25% ในการประชุม 3 พ.ค.66 จากนั้นเราคาดตลาดจะเปลี่ยนความสนใจไปสู่การติดตามตัวเลขเศรษฐกิจและความระมัดระวังต่อการเกิดเศรษฐกิจถดถอยที่มักจะเป็นผลจากการขึ้นดอกเบี้ย แต่มักจะเกิดขึ้นหลังดอกเบี้ยชะลอการขึ้นไประยะหนึ่งแล้ว ภาพรวมกลยุทธ์ยังเน้นหุ้นที่เติบโตในปี 2566 และการปรับพอร์ตลงทุนให้มีสัดส่วนหุ้นปลอดภัยที่สูงขึ้น โดยประเมินSET อาจผันผวนระยะสั้น แต่มีโอกาสเกิด honeymoon period rally โดยมีหุ้นที่เราชอบ ได้แก่ CPALL, MAKRO, BJC, WHA, AMATA, ROJNA, PTG, OR, MAJOR, SPA, ERW, VRANDA, BGC, M, SORKON, SNP, BGRIM, GPSC, GULF, GUNKUL, ADVANC 

ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัว 1,585-1,620 จุด แต่บรรยากาศเก็งกำไรรายตัวยังเป็นบวก  ขณะที่การลงทุนเน้น selective buy กลุ่มที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในปี 2566 และยังมีการถือครองที่ต่ำ (Underowned) โดยเฉพาะสาธารณูปโภคและค้าปลีก

หุ้นแนะนำ: ESSO*, WHAUP*, ROJNA*, BGC*

แนวรับ: 1,585 / แนวต้าน : 1,604-1,623 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
 

 

 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ

รัฐบาลยืนยันเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ เชื่อแนวโน้มเงินเฟ้อลดลง - รายงานของ ธปท. ยืนยันว่า ระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพที่ดี และวิกฤตที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ จะไม่กระทบต่อภาคการเงินของไทยอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การดูแลอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 1-3% สามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสม และคาดว่าสิ้นปีนี้ อัตราเงินเฟ้อไม่สูงไปกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

SABUY แจ้งเปลี่ยนอัตราการจ่ายเงินปันผล - โดย 1) จากเดิมที่จะจ่ายเงินเป็นผลเป็นหุ้นสามัญในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล กลายเป็น 4.3442 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล (หรือคิดเป็นการจ่ายเงินปันผลจากหุ้นละเป็น 0.25 เป็น 0.2301 บาทต่อหุ้น) และ 2) จากเดิมที่จะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.0278 บาทต่อหุ้น กลายเป็น 0.0255 บาท

JASIF – รายงาน TTTBB จ่ายค่าเช่า เม.ย.บางส่วน แต่ยังค้าง 193 ล้านบาท โดยตามสัญญาชำระล่าช้าได้ 15 วัน และมีค่าปรับ 7.5% (ครบกำหนด 2 พ.ค.) โดยมีการแจ้งขอลดค่าเช่า ซึ่งยังไม่ได้หารือและยังไม่มีข้อสรุป

 

ประเด็นติดตาม: 19 เม.ย. – EU CPI / 20 เม.ย. – US Existing Home Sales / 25 เม.ย. – US New Home Sales/ 26 เม.ย. – Core Durable Goods Orders / 27 เม.ย. – US GDP, Pending Home Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)