วิกฤติเชื่อมั่นทุบ ‘หุ้นแบงก์’ โบรกเกอร์ฟันธงพื้นฐานไม่เปลี่ยน เป็นจังหวะซื้อ

วิกฤติเชื่อมั่นทุบ ‘หุ้นแบงก์’ โบรกเกอร์ฟันธงพื้นฐานไม่เปลี่ยน เป็นจังหวะซื้อ

“หุ้นแบงก์” ร่วงยกแผง นักลงทุนกังวลปัญหาปิด “เอสวีบี” นำทีมโดย “กสิกรไทย” มากสุด 5.88% “บล.ทรีนีตี้” ชี้ราคาลงแรง รับเซนทิเมนต์เชิงลบ มองเป็นจังหวะซื้อ มั่นใจพื้นฐานกลุ่มธุรกิจธนาคารไทยไม่เปลี่ยน "บล.โนมูระพัฒนสิน" เชื่อแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจคาดโตในปีนี้ - ปีหน้า

จากกรณีการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (SVB) ในสหรัฐ จนกลายเป็นความล้มเหลวของธนาคารกลางสหรัฐครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในปี 2551 ส่งผลให้ธนาคารหลายแห่งทั่วโลก เกิดความวิตกกังวลต่อความเสี่ยงด้านระบบในวงกว้าง แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสหรัฐพยายามสกัดกั้นการล่มสลายแล้วก็ตาม

วานนี้ (13 มี.ค.2566) ราคา “หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์” (แบงก์) ปรับตัวลงนำทีมโดย ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 3.16% มาอยู่ที่ 153 บาท หรือลดลง 5 บาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลดลง 5.88% มาอยู่ที่ 128 บาท หรือลดลง 8 บาท บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ลดลง 2.68% มาอยู่ที่ 99.75 บาท หรือลดลง 2.75 บาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ลดลง 1.69% มาอยู่ที่ 29 บาท หรือลดลง 0.50 บาท 

ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ลดลง 1.45% มาอยู่ที่ 1.36 บาท หรือลดลง 0.02 บาท ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ลดลง 1.20% มาอยู่ที่ 0.82 บาท หรือลดลง 0.01 บาท ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ลดลง 4.48% มาอยู่ที่ 64 บาท หรือลดลง 3 บาท 

นายธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ บอกว่า กรณีที่่ราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลงมาวานนี้ (13 มี.ค.2566) ประเด็นหลักๆ มาจากกรณีที่แบงก์ SVB ถูกสั่งปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อเซนทิเมนต์เชิงลบในการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแบงก์ไทย แต่แบงก์ในเอเชียถูกนักลงทุนเทขายออกมาเช่นกัน โดยมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาทางด้านสภาพคล่อง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นหลัก 

สำหรับแบงก์ไทย มองว่าพื้นฐานธุรกิจไม่ได้เปลี่ยน และแบงก์ไทยไม่ได้มีการลงทุนใน SVB หรือปล่อยกู้ให้ธุรกิจที่มีความเสี่ยงอย่างแบงก์ SVB ซึ่งมีโครงสร้างฐานลูกค้าที่มีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจร่วมลงทุน (Venture Capital) และ สตาร์ตอัป (Startup) รวมทั้งมีการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินที่ผิดพลาด ซึ่งถือเป็นปัญหาเฉพาะตัว ดังนั้น มองว่าแบงก์ไทยได้รับผลกระทบน้อยมาก 

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะที่ราคาหุ้นแบงก์ปรับตัวลงมองเป็นโอกาสในการเข้า “ซื้อสะสม” เนื่องจากประเด็นดังกล่าวไม่ได้กระทบพื้นฐานธุรกิจแบงก์ไทย โดยแนะนำ หุ้นธนาคารกรุงเทพ ( BBL) และหุ้น บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB โดยธุรกิจไม่กระทบเพราะไม่มีการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่มีความเสี่ยง 

วิกฤติเชื่อมั่นทุบ ‘หุ้นแบงก์’ โบรกเกอร์ฟันธงพื้นฐานไม่เปลี่ยน เป็นจังหวะซื้อ “หุ้นกลุ่มแบงก์ที่ร่วงแรงวานนี้ หลักๆ มาจากเซนทิเมนต์เชิงลบจากกรณีการปิดแบงก์ SVB ในสหรัฐ โดยหุ้นแบงก์ที่ร่วงหนักจะเป็นแบงก์ที่มีต่างชาติลงทุนสัดส่วนเยอะ เนื่องจากกังวลปัญหาจะลุกลาม แต่หากมองพื้นฐานแบงก์ไทยถือว่าไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ยังแนะนำซื้อสะสมในจังหวะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง โดยให้น้ำหนักโดดเด่น หุ้น BBL และ SCB

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากที่ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ ปรับตัวลดลงวานนี้ได้รับเซนทิเมนต์เชิงลบจากกรณีที่สถาบันการเงินของสหรัฐปิดตัวลงไป ซึ่งธนาคารพาณิชย์ของไทยไม่ได้มีความเสี่ยงในเรื่องปัญหาสภาพคล่องเหมือนกับแบงก์ในสหรัฐที่ปิดไป เพราะธนาคารพาณิชย์ของไทยไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับบริษัทเทค และสตาร์ตอัป สูงเหมือนกับ SVB

ดังนั้น ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา มองเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ เพราะ เชื่อว่ากลุ่มแบงก์ในระยะยาวจะฟื้นตัวได้ตามโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้ และปีหน้า และแวลูเอชันยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย  โดยหุ้นกลุ่มแบงก์ที่แนะนำคือ หุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี คือ BBL ส่วนหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากแล้วจากตอบรับข่าวเชิงลบแนะนำ หุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK)  และSCB

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์