ค่าเงินบาทเปิดตลาด’แข็งค่า’ที่ 34.45 บาทต่อดอลลาร์ ค่าเงินเอเชียปรับตัวดี

ค่าเงินบาทเปิดตลาด’แข็งค่า’ที่ 34.45 บาทต่อดอลลาร์ ค่าเงินเอเชียปรับตัวดี

“กรุงไทย” ชี้เงินบาทยังผันผวน หลังตลาดการเงินฝั่งเอเชียปรับตัวขึ้นดี จากดัชนี PMI ของจีนออกมาดี แต่ตลาดยังกังวลการขึ้นดอกเบี้ยเฟด กดดันฝั่งอ่อนค่าได้ จับตาตลาดหุ้นไทยหลังดัชนี SET ได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ มองกรอบเงินบาทวันนี้ 34.35-34.60 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (7 มี.ค.) ที่34.45 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 34.70 บาทต่อดอลลาร์  มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ34.25-35.25 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท ประเมินว่า ยังมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways โดยแรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ แต่การอ่อนค่าอาจไม่รุนแรงมาก  ทั้งนี้ ควรจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยหลังดัชนี SET ได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับสำคัญ ทำให้ นักลงทุนต่างชาติ อาจเริ่มชะลอการขายหุ้นไทย นอกจากนี้ ราคาทองคำก็เริ่มแกว่งตัวใกล้โซนแนวต้านสำคัญ ซึ่งถ้าราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อได้ ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ตลาดจะยังไม่คลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด หากยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ออกดีกว่าคาด ทำให้ เงินดอลลาร์มีโอกาสผันผวนแข็งค่าขึ้น

 ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจถูกชะลอลงได้ ในกรณีที่ประธาน ECB ส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นได้

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

 

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินฝั่งเอเชียปรับตัวขึ้นได้ดี โดยเฉพาะค่าเงินฝั่งเอเชีย หลังรายงานดัชนี PMI ของจีน ในเดือนกุมภาพันธ์ นั้นออกมาดีกว่าคาด

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวัง ตลาดการเงินอาจผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงทยอยรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานในฝั่งสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะการแถลงต่อสภาคองเกรสของประธานเฟด Powell

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪       ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน โดยสิ่งที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ ความต้องการแรงงานโดยรวม (Demand for Labor) ซึ่งจะสะท้อนผ่านยอดตำแหน่งงานเปิดรับ(JOLTS Job Openings) และยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls: NFP) โดยเรามองว่า หากยอดตำแหน่งงานเปิดรับและ NFP รวมแล้วออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด (10.5 + 0.2 = 10.7 ล้านตำแหน่ง) ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า ภาพรวมตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว ซึ่งถ้าหาก อัตราการเติบโตของรายได้(Average Hourly Earnings) ปรับตัวขึ้นสูงกว่าคาด (สูงกว่า +4.7%y/y หรือ สูงกว่า +0.3%m/m) ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น หรือเพิ่มโอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ5.75% ในช่วงไตรมาสที่ 3 ได้ (จาก CME FedWatch Tool ล่าสุด ตลาดให้โอกาสเพียง 38%) ในกรณีดังกล่าว เราประเมินว่า มีโอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาจปรับตัวลงได้ และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ถ้อยแถลงของประธานเฟด Powell ต่อสภาคองเกรส ซึ่งเราคาดว่าประธานเฟดจะยังคงย้ำจุดยืนว่า ภารกิจจัดการอัตราเงินเฟ้อของเฟดยังไม่เสร็จสิ้น และเฟดจำเป็นจะต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและอาจคงไว้ที่ระดับสูงตลอดทั้งปีนี้ จนกว่าเฟดจะมั่นใจว่าสามารถคุมปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงได้สำเร็จ นอกจากนี้ ประธานเฟดอาจไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือคงมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession ในปีนี้ได้

▪       ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะถ้อยแถลงของประธานECB เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของ ECB ในปีนี้ ซี่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) จากระดับล่าสุดที่ 2.50% จนแตะระดับสูงกว่า 3.75% ได้

▪       ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะ ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) ซึ่งจะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของผู้ว่าฯ Kuroda โดยเราประเมินว่า BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.10% พร้อมกับคงเป้าบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่นที่ระดับ 0.00%+/-0.50% (ยังคงทำคิวอีต่อ) ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า BOJ อาจเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ในปีนี้ หลังอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและจะมีการเปลี่ยนผู้ว่าฯ BOJ ในช่วงไตรมาสที่ 2 อย่างไรก็ดี สำหรับธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ตลาดมองว่า RBA จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 3.60% จนกว่า RBA จะมั่นใจว่าสามารถคุมปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้สำเร็จ (อัตราเงินเฟ้อและภาพเศรษฐกิจชะลอลงต่อเนื่อง อย่างชัดเจน) ส่วนธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.75% ต่อ หลัง BNM อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ โดยที่ไม่กดดันการเติบโตเศรษฐกิจจนเกินไป

▪       ฝั่งไทย – ตลาดมองว่า ภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยจะช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52 จุด ได้ ทั้งนี้ เราประเมินว่า แม้การบริโภคในประเทศยังคงฟื้นตัวได้ดีตามภาพเศรษฐกิจโดยรวมและมีส่วนช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ฐานราคาสินค้าของเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนที่อยู่ในระดับสูง กอปรกับการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าพลังงานและเนื้อสัตว์ในเดือนกุมภาพันธ์จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนกุมภาพันธ์ชะลอลงสู่ระดับ 3.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะยังคงสูงกว่าระดับ 2%