OSP - ดีขึ้นแต่ยังไม่มากพอ (31 ม.ค. 2566)

OSP - ดีขึ้นแต่ยังไม่มากพอ (31 ม.ค. 2566)

เราคาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q22F จะลดลง 53% yoy แต่จะเพิ่มขึ้น 65% qoq เป็น 403 ล้านบาท ขณะที่กำไรในปี FY23F จะเพิ่มขึ้น yoy หนุนโดย 1) ธุรกิจ energy drink ฟื้นตัวขึ้น และ 2) มีประสิทธิภาพมากขึ้นหลังจากปิดโรงงานแก้ว

เรายังคงคำแนะนำ ถือ และประเมินราคาเป้าหมายที่ 28.50 บาท เนื่องจากเรามองว่ายอดขายของธุรกิจ energy drink จะโตช้ากว่าตลาด

 

กำไรใน 4Q จะเพิ่มขึ้น qoq

ทั้งที่ตลาด energy drink โต 17% yoy ใน 4Q แต่เราคาดว่ายอดขายใน 4Q22F จะลดลง 7% yoy แต่เพิ่มขึ้น 5% qoq เป็น 6.49 พันล้านบาท โดยยอดขายของธุรกิจ energy drink จะลดลง yoy ตามปริมาณยอดขายที่ลดลงเพราะส่วนแบ่งตลาดบริษัทหดตัวลงจาก 54% เหลือ 47% ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 30.1% จาก 29.3% ใน 3Q เนื่องจากโรงงานผลิตขวดแก้วมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราคาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายจะลดลง qoq จาก 26.4% ใน 3Q เหลือ 25.5% ใน 4Q22F เพราะยอดขายเพิ่มขึ้น ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิใน 4Q22F จะลดลง 53% yoy แต่เพิ่มขึ้น 65% qoq เป็น 403 ล้านบาท

 

 

 

 

 

เดินหน้าใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบ Two-tier ต่อไปในปี 2023

OSP ปรับสูตรเครื่องดื่ม (ได้แก่ การเพิ่มส่วนผสมของน้ำตาล) และปรับขนาดของบาง SKUs เป็นขวดขนาด 100 มล. โดยตั้งราคาขายที่ขวดละ 10 บาทเพื่อตอบสนองอุปสงค์ในตลาดที่แตกต่างกัน เราคาดว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้ส่วนแบ่งตลาด และปริมาณยอดขายเพิ่มขึ้นในปี 2023

 

คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น YoY ในปี FY23F

เนื่องจาก 1) ส่วนแบ่งตลาด energy drink เริ่มมีเสถียรภาพใน 4Q ที่ 47.3% และบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาด energy drink อีก 200 bps ภายในสิ้นปี 2023 2) ธุรกิจ functional drink และของใช้ส่วนตัวมีแนวโน้มเติบโตดี 3) การปิดโรงงานแก้วน่าจะทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นประมาณ 25-50 bps และ 4) ต้นทุนวัตถุดิบน่าจะยังทรงตัว หรือลดลง yoy

 

คงคำแนะนำ ถือ และประเมินราคาเป้าหมายที่ 28.50 บาท

เนื่องจากเรามองว่ายอดขายของธุรกิจ energy drink น่าจะเพิ่มขึ้นช้ากว่าตลาด เราประเมินราคาเป้าหมายโดยใช้วิธี DCF และใช้สมมติฐาน WACC ที่ 8.5%  และ terminal growth ที่  2%