นิสัย VI ผู้มุ่งมั่น

นิสัย VI ผู้มุ่งมั่น

นักลงทุนที่เป็น Value Investor หรือ VI นั้น มีหลาย “ระดับ” ของการเป็น “VI” ซึ่งมีนิยามอย่างสั้นที่สุดก็คือ “การลงทุนซื้อหุ้นจะซื้อเฉพาะหุ้นที่มี Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาดของหุ้นมากพอที่จะทำให้มี Margin of Safety หรือส่วนเผื่อของความปลอดภัยในการลงทุน และขายหุ้นเมื่อราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง”

 ส่วนรายละเอียดว่าอะไรคือ มูลค่าที่แท้จริง  ประเมินอย่างไร และมีความแน่ใจแค่ไหน  และมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ควรจะประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน และแต่ละคนก็จะคิดไม่เหมือนกัน  นอกจากนั้น  กลยุทธ์การถือหรือซื้อขายหุ้น  เช่น ถือหุ้นจำนวนมากน้อยแค่ไหนหรือจะถือยาวแค่ไหน  เช่นเดียวกับวิธีการค้นหาข้อมูลและประเมินศักยภาพของกิจการ และผู้บริหาร  ก็เป็นเรื่องที่มีความแตกต่างกันมากในหมู่ของนักลงทุนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “VI”

จากการเป็น VI มายาวนานในตลาดหุ้นไทย  และการศึกษา VI ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวที่มีชื่อเสียงระดับโลกรวมถึงวอร์เรน บัฟเฟตต์  ผมเองรู้สึกว่า  “VI ผู้มุ่งมั่น”  หรือ VI ที่มีความทุ่มเท หรือยึดถือหลักการทาง VI “อย่างเคร่งครัด” นั้น มักจะตีตัวออกห่างจากสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์  เช่น ไม่รู้สึกตื่นเต้นกับราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแบบ “ไร้เหตุผล” หรือ “บ้าคลั่ง” เช่นเดียวกับการที่ไม่ตกใจหรือไม่กลัวเวลาหุ้นตกลงไปอย่างแรง  ไม่ว่าจะเป็นหุ้นรายตัวหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 

นอกจากนั้น พวกเขาก็ยังไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวหรือสตอรี่หรือ “ราคาคุย” ของผู้บริหาร  รวมถึงนักวิเคราะห์และ “เซียน” หรือ “นักลงทุนรายใหญ่” ทั้งหลายที่อยู่ในตลาดหากมองและประเมินแล้วว่าไม่ได้มีตรรกะหรือเหตุผลที่เพียงพอ

โดยปกติแล้ว  “ความเป็น VI” ของนักลงทุนนั้น  ก็คงคล้ายกับเรื่องอื่นๆ  ที่ว่า  ต้องอาศัยการปฏิบัติ และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ  เพื่อที่จะมีความเชี่ยวชาญ  มีวินัย  มีศรัทธา ที่จะลงทุนในแบบหรือกลยุทธ์แบบ “VI ที่แท้จริง” มากขึ้นเรื่อยๆ  และมี “ข้อยกเว้น” น้อยลงเรื่อยๆ  และต่อไปนี้ก็เป็นนิสัยหรือความคิด และการกระทำของผมที่ค่อย ๆ  เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาของการเป็น VI เพิ่มขึ้น   ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่า  ไม่ได้หมายความว่าผมจะลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาเป็น VI ที่มุ่งมั่นมากขึ้น  บางทีอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยลงด้วยซ้ำแต่ความเสี่ยงอาจจะลดลง  หรือ “ชีวิตโดยรวม” ซึ่งไม่ได้คิดแต่เรื่องการลงทุนเพียงอย่างเดียวอาจจะดีขึ้น  อะไรทำนองนี้

 

 เรื่องแรกที่ผมเปลี่ยนไปจากในช่วงแรกที่เป็น VI ก็คือ  เรื่องที่กำลังร้อนแรงมากในช่วงเร็วๆ  นี้นั่นก็คือ  การเล่นหรือจองซื้อหุ้น IPO ซึ่งดูเหมือนจะเป็น  “ที่รัก” ของนักลงทุนในตลาดหุ้นทุกคน  เพราะจากสถิติก็คือ  กำไรจากหุ้น IPO ในวันแรกของการเทรดนั้นน่าจะสูงกว่าการขาดทุนมาก-ตลอดกาล  ว่าที่จริง  ผมเองเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยการจองซื้อหุ้น IPO ที่ได้รับการจัดสรรจากบริษัทที่เอาหุ้นเข้าตลาดเมื่อหลายสิบปีก่อน  ดูเหมือนว่าน้อยครั้งที่คนจะปฏิเสธการจองหุ้น IPO มีแต่อยากจะได้มากที่สุด

 แต่ผมเองกลับเลิกจองหุ้น IPO มานานหลายปีแล้ว  ทั้งๆ ที่บ่อยครั้งก็รู้สึกว่ากำไรมากแน่นอน  เพราะดูจากอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรง  ตัวบริษัทที่เป็นผู้นำ และมีขนาดของบริษัทที่เล็กมาก  หุ้นมี Free Float ต่ำ  ภาวะตลาดหลักทรัพย์มีการเก็งกำไรสูงมาก  หุ้นมีโอกาสถูก “Corner” ตั้งแต่เทรดวันแรก 

แต่ผมก็ไม่จอง  ผมคิดว่า IPO น่าจะเกือบทุกตัวนั้นมักมีราคาที่ตั้งไว้สูงกว่าพื้นฐานของหุ้น  หรือที่เขาพูดกันว่า  “It Probably Overpriced” และ “VI พันธุ์แท้” ไม่ควรซื้อหุ้นที่ราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริง  และก็ไม่ควรซื้อแม้ว่าในระยะเวลาอันสั้นราคาอาจจะสูงกว่าพื้นฐานมากขึ้นไปอีกมาก ซึ่งจะทำให้เราขายได้กำไรอย่างงดงาม  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมคิดว่าถึงได้กำไร  มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงสถานะของพอร์ตหุ้นเราเลย  เราอาจจะได้เงิน  แต่เราก็อาจจะเสียศรัทธา และความเชื่อของเราต่อหลักการแบบ VI ที่เราสร้างมานาน

ช่วงการเป็น VI ใหม่ๆ  อาจจะเป็นกว่า 10 ปี  เมื่อมองย้อนหลังกลับไป  ผมน่าจะเป็นนักลงทุนที่เรียกว่า “Value Speculator” หรือนักเก็งกำไรโดยอาศัยหลักการเลือกและเล่นหุ้นที่เป็น “Value Stock” คือ หุ้นที่มีราคาถูกกว่าพื้นฐานของกิจการ  แต่จะเป็นการมองระยะสั้น และเน้นที่กำไรของบริษัทในระยะสั้น  หุ้นเหล่านี้มักจะไม่ได้มีความเข้มแข็งมากนักแต่กำไรอาจจะกำลังเติบโตดี  หุ้นมีขนาดเล็กที่ราคาอาจจะขึ้นไปได้เร็วเมื่อมีคนเข้ามาเล่น  บางตัวก็ถูก Corner โดยนักลงทุนรายใหญ่ซึ่งทำให้ราคาวิ่งขึ้นไปมากมาย  อย่างไรก็ตาม  เวลาที่กำไรของบริษัทไม่เป็นไปตามคาดหรือเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ราคาก็ลงแรงพอกัน

 ในระยะหลังๆ โดยเฉพาะที่พอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น  ผมก็เปลี่ยนเป็นการลงทุนแบบ VI ระยะยาวขึ้น และยาวขึ้น  ลงทุนในหุ้นของกิจการที่จะอยู่อย่างมั่นคงปลอดภัย และเติบโตเร็วหรืออย่างน้อยก็เติบโตบ้างแบบช้าๆ  โดยไม่ค่อยสนใจว่างวดนี้หรืองวดหน้าหรือปีนี้หรือปีหน้ากำไรบริษัทจะโตพรวดหรือเปล่า  เป็นการลงทุนที่ซื้อแล้วไม่มีเวลาที่คิดจะขาย  แต่จะขายต่อเมื่อสิ่งที่เราคิดไว้ทีแรกเปลี่ยนไปแล้ว  เช่น  ธุรกิจหมดความสามารถในการแข่งขันหรือถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีหรือรูปแบบการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป  เป็นต้น

การหาข้อมูลแบบ VI คือ ดูกิจการหรือเข้าไป Visit Company คุยกับผู้บริหารโดยตรงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนไปในอดีตบ่อยครั้ง  ก่อนที่จะซื้อหุ้นผมมักจะอยากจะรู้จัก หรือพูดคุยกับผู้บริหารรวมถึงการเข้าไปชมโรงงานหรือกิจการว่าเป็นอย่างไร  ดูดีหรือไม่  นอกจากนั้น  ถ้าบริษัทขายสินค้าให้กับผู้บริโภค  ผมก็จะต้องวนเวียนคอยสังเกตดูว่ามีลูกค้าเข้าชมหรือซื้อสินค้าของบริษัทมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งก็มักจะได้ผลดี  ซื้อแล้วหุ้นก็มักจะขึ้น 

ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะมี VI คนอื่นก็เข้าไปพบบริษัท และผู้บริหาร และก็ซื้อหุ้นด้วยเหมือนกัน  อย่างไรก็ตาม  ต่อมาผมพบว่า  เวลาเข้าไปพบบริษัท  ข่าวก็คงออกมา และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปก่อนที่เราจะซื้อ  ทำให้ผมไม่อยากไป  สุดท้าย  ผมก็เลิกไปเลยเพราะดูแล้ว  การเข้าไปเยี่ยมชม และฟังผู้บริหารก็อาจจะได้ข้อมูลที่ “ลำเอียง” ตอนหลังผมก็เลยดูจาก “ภายนอก” ดูจากข้อมูลทางตัวเลข และการวิเคราะห์ธุรกิจ และอุตสาหกรรมซึ่ง  “หลอกไม่ได้”

 การวิเคราะห์ “ผู้บริหาร” นั้น  ในอดีตผมจะเน้นในเรื่องความซื่อสัตย์มีจรรยาบรรณเป็นประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของฝีมือหรือความสามารถทางการบริหาร  ซึ่งผมก็มักจะดูจากการตัดสินใจต่างๆ  เช่น  การลงทุนและการจัดสรรเงินที่ได้จากธุรกิจว่ามีความเหมาะสมแค่ไหน  โดยเฉพาะการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น  ในส่วนของฝีมือในการบริหารนั้น  บ่อยครั้งผมก็มักจะดูจากการพูดอธิบายกลยุทธ์ทางธุรกิจต่างๆ  ของผู้บริหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายงาน และการแข่งขันกับคู่แข่ง 

บ่อยครั้งผมมักจะประทับใจกับผู้บริหารที่มีโครงการและแผนงานเต็มไปหมดพร้อมๆ  กับการคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าประทับใจ  พูดง่ายๆ  ชอบผู้บริหารที่ “ขี้คุย” แต่ในระยะหลังๆ  ความคิดผมก็เปลี่ยนไป  ผมคิดว่าผู้บริหารที่ “โอ้อวดเกินความจริง” นั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อหุ้นมากกว่าความเป็นไปได้ของการเติบโตของธุรกิจ  ดังนั้น  ผมมักจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่ผู้บริหารคุยโม้มากเกินไป

 กลยุทธ์การลงทุนของผมในอดีตนั้น  เป็นแบบ  “Bottom Up” หรือเน้นแต่การดูตัวบริษัทเป็นหลัก  โดยที่ไม่ให้ความสนใจกับภาพใหญ่ทางธุรกิจเช่น  ภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเลย  นั่นอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดีโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเติบโตระยะยาวไปเรื่อย ๆ  อย่างในตลาดหุ้นสหรัฐหรือไทยในช่วงก่อนหน้านี้หลายปี 

อย่างไรก็ตามในระยะหลัง  ผมก็เริ่มเปลี่ยน  ผมคิดว่าหลักการแบบ VI ที่มีกำเนิดจากอเมริกา และประวัติศาสตร์การลงทุนที่เราเรียนรู้จากอเมริกานั้น  ถึงปัจจุบันอาจจะใช้ไม่ได้กับตลาดหุ้นไทยที่เศรษฐกิจอาจจะเติบโตช้าลงมาก  และถ้าเรายังคิด และวิเคราะห์เฉพาะตัวกิจการ  เราอาจจะพลาด และติดหล่มอยู่ใน “หลุมทรายดูด” ได้  เพราะตัวบริษัทอาจจะไม่อยู่ในสภาวะที่จะเติบโตได้ดีแม้ว่าจะเก่งที่สุดแล้ว  

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์