‘เงินบาทอ่อนค่า’ เปิดตลาดที่ 34.84 บาทต่อดอลลาร์ จากตลาดกังวลศก.สหรัฐถดถอย

‘เงินบาทอ่อนค่า’ เปิดตลาดที่ 34.84 บาทต่อดอลลาร์ จากตลาดกังวลศก.สหรัฐถดถอย

“กรุงไทย” ชี้เงินบาทผันผวนอ่อนค่า จากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจยังคงหนุนความต้องการถือดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยและต่างชาติบางส่วนทยอยขายทำกำไรหุ้นไทย มองกรอบวันนี้ 34.70-34.90 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ (15 ธ.ค.)  ที่ระดับ 34.84 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.81 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.70-34.90 บาทดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดอาจยังคงหนุนความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์ ในช่วงนี้ รวมถึงส่งผลให้ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ ซึ่งทั้งสองปัจจัยดังกล่าวก็สามารถกดดันให้เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงได้ 

นอกจากนี้ หากราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่อง ก็อาจเห็นโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวซึ่งสามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า แรงกดดันเงินบาทดังกล่าวก็อาจไม่ได้ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงจนทะลุแนวต้านสำคัญแรกของเงินบาทแถวโซน 35.00-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก หากไม่ได้มีปัจจัยลบอื่นๆ เข้ามากดดันเพิ่มเติม เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาด ต่างก็รอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าเพื่อทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือ เพิ่มสถานะ Short USDTHB (มองว่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะถัดไป)

ส่วนในวันนี้ เรามองว่า ผลการประชุม BOJ ก็อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้ เพราะหากทาง BOJ เริ่มมีการส่งสัญญาณพร้อมปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้น อาทิ อาจพิจารณาทบทวนนโยบายการเงินหรือมีการปรับกรอบของบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ก็อาจส่งผลให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง และอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท

 การเคลื่อนไหวของ เงินบาท ที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก

 

บรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) กดดันโดยความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หากเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องตาม Dot Plot ล่าสุด ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยลดการถือครองสินทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มTech และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยหรือบอนด์ยีลด์ (Amazon -3.4%, Alphabet -2.0%) ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงต่อ -1.49% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.90%

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป สามารถรีบาวด์ขึ้นกว่า +0.27% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.5%, TotalEnergies +1.8%) ตามราคาน้ำมันดิบจากแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานในจีนที่อาจเพิ่มสูงขึ้น หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด COVID-19 นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ในเดือนธันวาคม ที่ปรับตัวขึ้นดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐฯและยุโรปเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นไปได้มาก

ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยปรับมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลักที่ยังคงย้ำจุดยืนเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง และเลือกที่จะขายทำกำไรบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3.60% ซึ่งเรามองว่า หากนักลงทุนกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ก็ควรรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อสะสม (Buy on Dip)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.7 จุด อย่างไรก็ดี แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง แต่การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องใกล้ระดับ 1,797 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่า หากราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่อง ก็อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวกลับเข้ามาบ้าง ซึ่งโฟลว์ดังกล่าวก็มีส่วนในการกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตา คือ ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเรามองว่าแม้ว่าเงินเฟ้อของญี่ปุ่นจะเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) อาจแตะระดับ 3.9% ในเดือนพฤศจิกายน แต่ BOJ อาจเลือกที่จะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ-0.10% พร้อมเดินหน้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปี เพื่อตรึงระดับบอนด์ยีลด์ไม่ให้สูงกว่า 0.25% ไปมาก หลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อที่สูงกดดันการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะในปีหน้าที่ผู้ว่าBOJ คนปัจจุบันจะหมดวาระลง โดยหากทาง BOJ มีการสื่อสารที่ชัดเจนถึงแนวโน้มการปรับนโยบายดังกล่าว ก็อาจหนุนให้ ค่าเงินเยน (JPY) แข็งค่าขึ้นได้บ้างในระยะสั้น

ส่วนในฝั่งจีน ตลาดมองว่า บรรดาธนาคารพาณิชย์ในจีนอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (Loan Prime Rate) ประเภท 5 ปี ลง -10bps สู่ระดับ 4.20% เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการพยุงภาคอสังหาฯ ของทางการจีน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปี ซึ่งถูกใช้ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภาคเอกชนและครัวเรือน อาจยังคงอยู่ที่ระดับ 3.65%

และในฝั่งยุโรป ตลาดคาดว่า ความกังวลปัญหาขาดแคลนพลังงานที่คลี่คลายลง รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อชะลอลง ก็อาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -22 จุด ในเดือนธันวาคม จาก -23.9 จุด ในเดือนก่อนหน้า