"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" มองบวก หุ้นไทย ปี 66 ดัชนีมีลุ้นเด้ง 100 จุด

"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" มองบวก หุ้นไทย ปี 66 ดัชนีมีลุ้นเด้ง 100 จุด

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ มองการลงทุนหุ้นไทย ปีหน้าเป็นพระเอก ดัชนีลุ้นบวก100 จุด จากสิ้นปีนี้คาดแตะ 1,650-1,700 จุด รับอานิสงส์ วัฏจักศก.ไทยขาขึ้น สวนศก.โลก ขาลง ท่องเที่ยวฟื้น ดูดฟันด์โฟลว์ไหลเข้า แนะ 4 ธีมหุ้นไทยสดใส "เปิดปท. -แบงก์-พลังงาน-โรงไฟฟ้า" มีติดพอร์ต  

จากงานสัมมนา SET in the City 2022 ค้นหาโอกาสใหม่ ให้คุณลงทุนอย่างมั่นใจ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น วิเคราะห์แนวโน้มและมุมมองการลงทุนให้คุณไม่ตกเทรนด์ จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) 

ในหัวข้อ “ปรับพอร์ต จัดทัพ รับดอกเบี้ยขาขึ้น” พบไอเดียจัดและปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรดี สินทรัพย์ไหนที่ควรมีหรือลดออกจากพอร์ตลงทุน  นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA)  และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ทิสโก้ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปี 2566  อยู่ในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจโลกขาลง เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น นับว่าเป็นโจทย์ยากของการลงทุน ในรอบ 20 ปี  นักลงทุนอาจตกที่นั่งลำบาก การลงทุนต่างประเทศต้องเพิ่มความระมัดระวังและคัดเลือกมากขึ้น  

"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" มองบวก หุ้นไทย ปี 66 ดัชนีมีลุ้นเด้ง 100 จุด

ปีหน้า "หุ้นไทย"  เป็นพระเอก-ความหวังนักลงทุน 

ดังนั้นในปีหน้า มองว่า “ตลาดหุ้นไทย”  จะเป็นพระเอก และเป็นความหวังของนักลงทุนไทย จากความโชคดีที่เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงวัฏจักรเศรษฐกิจขาขึ้น สวนทางเศรษฐกิจโลก

"นักวิเคราห์เศรษฐกิจหลายสำนักวิจัยคาดว่า จีดีพีของไทยในปีหน้า เติบโต  3-4% หรือ เติบโตมากกว่าปีนี้แน่นอน และปีหน้าเศรฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวเท่าจุดเดิมก่อนโควิด "

จับตา “ท่องเที่ยว” อัพไซด์เศรษฐกิจไทยในปีหน้า 

นายไพบูลย์คาดว่า  มีความเป็นไปได้สูงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาแตะระดับ 20 ล้านคนขึ้นไป หรือเฉลี่ย 2 ล้านคนต่อเดือนในปีหน้า คิดเป็นการเติบโตเท่าตัวจากปีนี้ น่าจะถึงระดับ 10 ล้านคน จากปัจจุบันกลับเข้ามาแล้ว 1.3 ล้านคนต่อเดือน และน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนต่อเดือนในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปีนี้  โดยพบว่า แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีหน้า คนทั่วโลกเริ่มประหยัดการใช้จ่ายสินค้า แต่กลับเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น  ตอนนี้จะเห็นว่า ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ท่องเที่ยวในไทยช่วงนี้คึกคัก      

ยังเชื่อมั่น ธปท.ขึ้นดบ.ค่อยเป็นค่อยไป คุมเงินเฟ้ออยู่ 

ขณะเดียวกัน  เรายังเชื่อมั่นว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังคุมเงินเฟ้อของไทย ไม่ให้กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ทั้งนี้ ปัจจุบันเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำ 2-3% และเงินเฟ้อทั่วไป ปรับลดลงจาก 8% มาอยู่ที่ 6%  คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยปีหน้าจะขึ้นมาเล็กน้อยที่ 1.75% จากในปีนี้ ที่ 1.25%

สภาพคล่องยังสูง ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหนุนดัชนีสิ้นปีนี้แตะ 1,700 จุด 
ขณะเดียวกันระยะข้างหน้า นายไพบูลย์  มองว่า สภาพคล่องในตลาดยังอยู่ในระดับสูง  แม้เฟดจะทำคิวทีดึงเงินออกระดับแสนล้านดอลลาร์ แต่น่าจะใช้ระยะเวลาราว 4  ปีกว่าจะดึงสภาพคล่องที่ใส่ในช่วงโควิดออกหมด

ดังนั้นคาดว่ากระแสเงินทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์) ยังไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยในปีหน้า  ต่อเนื่องจากปีนี้แม้ตลาดผันผวนแต่ยังเห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยถึง 1.6 แสนล้านบาทหรือสูงสุดในรอบ 20 ปี เป็นการไหลเข้ามาเกือบทุกเดือน เว้นไปเดือนหนึ่งแต่ยังไหลกลับมาใหม่ หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาที่ 1,600 จุด ตามเดิมได้ และช่วงไตรมาส 4 ปีนี้มีอัพไซด์ ทำให้สิ้นปีนี้ดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นไปถึง 1,650-1,700 จุด เป็นไปได้มากขึ้น  

"ไพบูลย์ นลินทรางกูร" มองบวก หุ้นไทย ปี 66 ดัชนีมีลุ้นเด้ง 100 จุด

ชี้หุ้นไทยปีหน้า ปัจจัยหนุนเพียบ ลุ้นดัชนีบวก 100จุด 
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้า นายไพบูลย์  มองว่า  ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง (ดาวน์ไซด์) ไม่มากแล้ว และโอกาสปรับขึ้น (อัพไซด์)  ราว 5-10% อาจดูไม่มาก แต่ดัชนีฯมีโอกาสปรับขึ้น 100 จุด ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน  หากท่องเที่ยวฟื้นตัวแรงยังเพิ่มอัพไซด์ได้


จากปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยปีหน้า เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาเติบโตเท่าจุดเดิมก่อนปีโควิด  ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังอยู่ขาขึ้น คาดปีหน้ากำไรบจ.โต 10% ขึ้นไป  จากการผลิตยังเพิ่มขึ้น มีความสามารถทำกำไร  ดอกเบี้ยยังขึ้นไม่สูง ดึงดูดฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่องจากปีนี้ 

 4 ธีมลงทุนหุ้นไทย เปิดปท. -แบงก์-พลังงาน-โรงไฟฟ้า 
พร้อมกันนี้  นายไพบูลย์ แนะนำการลงทุนหุ้นไทยในปีหน้ามี 4 ธีมหุ้นไทยน่าสนใจ ได้แก่  1 .ธีมหุ้นเปิดประเทศ  Re-Opening  ยังเป็นธีมที่แข็งแรงและชัดเจนที่สุด  เช่น กลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยว  บริโภค  แต่ต้องพิจารณาเลือกหุ้นที่ราคายังไม่ปรับตัวสูงเกินไป  

2.ธีมหุ้นแบงก์ ยังได้ประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นค่อนเป็นค่อยไปและเศรษฐกิจไทยปีหน้าฟื้นตัวดี 

3.ธีมหุ้นพลังงาน ยังต้องมาติดพอร์ตลงทุนเพื่อเฮดความเสี่ยง ความไม่แน่นอนสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน มีโอกาสที่สงครามแย่หรือดีกว่านี้ 

 4.ธีมหุ้นโรงไฟฟ้า มีโอกาสเติบโตจากการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อรองรับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ตามเทรนด์ของโลก  

"หุ้นญี่ปุ่น" น่าสนใจ การผลิตโต  
ทางด้านตลาดหุ้นต่างประเทศ มองว่า  ตลาดหุ้นญี่ปุ่น  แม้เงินเยนอ่อนค่าเป็นความตั้งใจที่ทางการอยากให้เห็นเพื่อดูแลเศรษฐกิจญี่ปุ่นหากถึงจุดที่ฟื้นกลับมาทุกอย่างก็จะกลับมา ขณะที่ในภาคการธุรกิจของญี่ปุ่น ยังมีลงทุนระยะยาวเพื่อส่งออกอย่างต่อเนื่อง  เช่นการส่งออกโรบอทและเครื่องจักร 

"หุ้นสหรัฐ" คัดหุ้นดีเฟนซีฟ "เฮลธ์แคร์-ยูทิลิตี้"  

ในส่วนตลาดหุ้นสหรัฐ ราคาหุ้นปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แต่ต้องคัดเลือกหุ้นกลุ่มดีเฟนซีฟและมีสภาพคล่องสูง  เช่น เฮลธ์แคร์และยูทิลิตี้ หากเป็นการลงทุนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป สามารถทยอยเข้าลงทุนได้ในวันนี้ ทางด้านการลงทุนหุ้นโลก ต้องเลือกประเทศที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตามการลงทุนหุ้นสหรัฐและหุ้นโลก หากตลาดยังไม่เป็นขาขึ้นชัดเจน แนะว่านักลงทุนอย่างเพิ่งรีบร้อน 

ชี้"หุ้นกู้" อินเวสต์เมนต์เกรด ยิลด์เด่น 3-4% 

ส่วนการลงทุนตราสารหนี้ มองว่า มีความน่าสนใจ จากบอนด์ยิลด์สหรัฐขึ้นมาระดับ 4% ระยะสั้นอยู่ที่ 4.7% และมีโอกาสไปแตะที่ 5% ส่งผลให้มีโอกาสกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gain) ด้วย  และลงทุนในหุ้นกู้ กลุ่มระดับลงทุนหรือ  Investment Grade (อินเวสต์เมนต์ เกรด) น่าสนใจ  ยังให้ผลตอบแทนที่ดี 3-4%  ยังดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และในระยะสั้นตลาดยังมีความผันผวน แนะนักลงทุนยังจำเป็นต้องถือเงินสดในพอร์ตอยู่บ้าง 

แนะจับตา 4 ปัจจัยเสี่ยง กดดันหุ้นไทยปีหน้า 

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงอาจกดดันตลาดหุ้นไทยในปีหน้า ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด  ได้แก่

1. เงินเฟ้อในประเทศจะปรับตัวลงได้หรือไม่ จากในตลาดเริ่มท้าทายธปท.มากขึ้นว่า ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายช้าไปหรือไม่ ถ้าเงินเฟ้อในประเทศยังสูงขึ้นอยู่  เพราะเศรษฐกิจปีหน้ากลับมาโตที่ 4% เงินเฟ้อขยับขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นมองว่าดอกเบี้ยนโยบาของไทย ขึ้นที่ระดับ 0.5%ยังทำได้

2.ในปีหน้ายังต้องติดตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางกลับมาตามคาดได้หรือไม่ หากไม่เป็นตามคาดก็จะฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยในช่วงฟื้นตัวและยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยด้วย

3.ปัจจัยการเมืองในประเทศ ที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า หากไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งตามกติกา จะเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่เข้ามาเพิ่มเติม 

4. ปัจจัยนอกประเทศ ยังต้องจับตามว่าเฟดจะค้างดอกเบี้ยที่ระดับ 5%ไว้นานแค่ไหน คุมเงินเฟ้อสหรัฐอยู่หรือไม่  มองว่า หากคุมเงินเฟ้อสหรัฐไม่อยู่ ยังมีความเสี่ยงที่เฟดยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ ยังกดดันตลาดหุ้นผันผวน

"เราคาดว่าเฟดจะขยับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐมาแตะที่ 5-5.2% ในปีหน้า และน่าจะคุมเงินเฟ้อสหรัฐ ปรับลงมาอยู่ 4-6% จากปีนี้ 8%  และแม้เศรษฐกิจสหรัฐรอบนี้จะแย่ลง แต่รอบนี้ เฟดส่งสัญญาณไม่ลดดอกเบี้ย และจะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย เพื่อดึงเงินเฟ้อสหรัฐให้ลงมาอยู่ที่ระดับ 2% ตามเป้าหมาย อยู่ที่ว่าเฟดจะทำได้เร็วแค่ไหน ซึ่งมองว่า ปีหน้ายังเป็นไปได้ยาก ดังนั้นตลาดผันผวนต่อได้"