‘3 เหตุผล-ทางเลือก’ คว้าโอกาสทองลงทุน ‘หุ้นญี่ปุ่น’

‘3 เหตุผล-ทางเลือก’ คว้าโอกาสทองลงทุน ‘หุ้นญี่ปุ่น’

หลายคนอาจจะยังสงสัยคาใจ เศรษฐกิจญี่ปุ่นโตต่ำอย่างนี้ “ตลาดหุ้นแดนปลาดิบ”ยังน่าลงทุนจริงหรือ? ปีนี้ นับเป็นปีที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการขยายตัวที่ดีกว่าสหรัฐฯ โดยIMF คาดการณ์ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2565 อยู่ที่ 2.4% สูงสุดรอบ 12 ปี เงินเฟ้อยังต่ำ ใช้ดบ.ต่ำได้

เมื่อ11 ต.ค.ที่ผ่านมานี้ “ญี่ปุ่นเปิดประเทศ” เริ่มอนุญาตให้นักท่องเที่ยวฟรีวีซ่าเข้าประเทศได้และไปเที่ยวเองได้เหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ประเทศที่แน่นอนว่า การปลด ล็อกท่องเที่ยวทำให้ ญี่ปุ่น กลับมาติดจอเรดาร์โลกอีกครั้ง 

แล้วมีเหตุผลอะไรบ้างที่เราไม่พลาด คว้าโอกาสทองในการลงทุน "หุ้นญี่ปุ่น” เราลองมาดูเช็คอัพกันอีกครั้งให้มั่นใจกับ  “บลจ.จิตตะ เวลธ์” 

‘3 เหตุผล-ทางเลือก’ คว้าโอกาสทองลงทุน ‘หุ้นญี่ปุ่น’

ศก.ญี่ปุ่นขาขึ้น “เปิดประเทศ-เงินเยนอ่อนค่า”

“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด  กล่าวว่า เหตุผลแรกที่เรายังเห็นภาพชัดเจนจากสัญญาณการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นถือว่าเหนือความคาดหมาย หลัง GDP ไตรมาส 2 ปี 2565 ขยายตัวถึง 3.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ถือว่าสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.9% หมายความว่า “เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวเร็วเกินคาด”

และมองไปข้างหน้าในระยะสั้นนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณามาตรการแจกเงิน 50,000 เยนต่อครัวเรือน สำหรับผู้มีรายได้ต่ำเพื่อกระตุ้นการบริโภคต่อเนื่องและแก้ปัญหาเรื่องราคาสินค้าที่สูงขึ้น เมื่อรวมกับมาตรการสนับสนุนภาคท่องเที่ยวด้วย

การตัดสินใจเปิดประเทศอย่างเต็มตัวของรัฐบาลญี่ปุ่น จะช่วยให้การบริโภคภายในประเทศ การลงทุน และมูลค่าการส่งออกฟื้นตัวเร็วขึ้น และที่สำคัญ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังจะกลับมาบูมอีกครั้ง ช่วยลดแรงกดดันต่อการอ่อนค่าของเงินเยนที่ทำสถิติอ่อนค่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ด้วย นอกจากนี้ ญี่ปุ่นกำลังเร่งลงทุนในธุรกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ “กระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจภายในญี่ปุ่น”

กองทุนระดับโลก “เพิ่มน้ำหนัก” ลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ในเมื่อเศรษฐกิจแดนซามูไรเติบโตได้ดีกว่าหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ  ลดความกังวลเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้น  ทำให้นักลงทุนทั่วโลกอยากเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นอีกครั้ง ด้วยความที่เป็นตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (Developed market) เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปที่อยู่กลุ่ม Developed market กลุ่มเดียวกัน

ซึ่ง บริษัทจัดการลงทุนยักษ์ใหญ่หลายแห่งเห็นโอกาสทองตรงนี้ โดยเฉพาะ BlackRock ที่แนะนำให้ ‘เพิ่มน้ำหนัก’ การลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น 

นี่คือเหตุผลที่สองที่เราไม่ควรพลาดการลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นรอบนี้ เพราะจริงๆ ก่อนหน้านี้ นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกอย่างปู่Warren Buffett ก็ย่องมาลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นถึง 5 แห่งอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ปี 2563 จนโกยกำไรก้อนโตไปแล้ว

“หุ้นดี -ราคาถูก” นอกสายตา

ญี่ปุ่น ยังมีขุมทรัพย์ล้ำค่าที่หลายๆ คนอาจจะยังมองไม่เห็น นั่นคือ ญี่ปุ่นมีอุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำระดับโลกอยู่ 3 หมวด ได้แก่ 

1.ธุรกิจเฮลท์เทค 

2.ธุรกิจก่อสร้างเทคโนโลยีระดับสูง 

3.ธุรกิจพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล 

จึงทำให้ราคาหุ้นญี่ปุ่นยังคงถูก เมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท

“ตราวุทธิ์”  กล่าวว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น นักลงทุนจะได้เจอ “หุ้นดี ราคาถูก”จำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งหลายบริษัทมีกำไรเติบโตสูง แต่ราคาหุ้นกลับไม่ไปไหน นั่นเป็นเพราะตลาดหุ้นที่ถูกมองข้ามมานาน 

 

บลจ.จิตตะ เวลธ์ เปิด 3 ทางเลือก  ปั้นกำไรจากตลาดหุ้นนอกสายตา

พร้อมกันนี้ “ตราวุทธิ์” แนะนำ3ทางเลือก “หุ้นญี่ปุ่น” ดังนี้

ทางเลือกที่ 1  เปิดพอร์ต ‘หุ้นญี่ปุ่น’ ลงทุนเอง จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการเลือกหุ้นลงทุนเอง และสามารถกำหนดสัดส่วนลงทุนได้ด้วยตัวเอง

ข้อดี:เลือกหุ้นได้ด้วยตัวเอง

ข้อเสีย : ต้องมีเวลาให้กับการลงทุนที่มากพอและมีต้นทุนการลงทุนที่สูง 

“มีต้นทุนการลงทุนสูงเพราะหากเงินลงทุนไม่สูงมาก มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นต่างประเทศขั้นต่ำและค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินเยนที่คิดเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุนรวม และที่สำคัญยังต้องมีเวลาติดตามข่าวสาร ศึกษาธุรกิจและต้องดูงบการเงินของบริษัทที่สนใจ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์และความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาประกอบด้วย รวมถึงต้องปรับพอร์ตด้วยตัวเองและต้องมีวินัยในการลงทุนมากพอสมควร”

ทางเลือกที่ 2 ลงทุน ‘หุ้นญี่ปุ่น’ ผ่านกองทุนรวม ซึ่งในตลาดมีกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมากมายหลายรูปแบบ 

ข้อดี : คนมีเงินน้อยก็ลงทุนได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ,เลือกช็อปปิ้งกองทุนที่เหมาะกับตัวเองได้,ค่าธรรมเนียมกองทุนรวมส่วนใหญ่จะสมเหตุสมผลและยุติธรรม และยังมีกฎหมายที่กำกับดูแลการทำธุรกิจอย่างเข้มงวดอีกด้วย

ข้อเสีย :ไม่สามารถเลือกหุ้นที่จะลงทุนเองได้ เพราะผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่ปรับพอร์ตลงทุน ,กองทุนรวมส่วนใหญ่ลงทุนหุ้นใหญ่เหมือนๆ กัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ส่งผลให้หุ้นเล็กที่กำไรเติบโตดีและน่าลงทุน จึงมักจะ ‘อยู่นอกเรดาร์’ ของกองทุนรวม ทำให้เสียโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีไปด้วย

ทางเลือกที่ 3 ลงทุนผ่าน ‘กองทุนส่วนบุคคล’ ที่เป็นของคุณเองอย่าง ‘Jitta Ranking ญี่ปุ่น’ เหมาะกับคนที่อยากลงทุนญี่ปุ่นโดยตรงและไม่มีเวลาในการบริหารพอร์ต แต่ให้ AI มาช่วยในการคัดกรอง ‘หุ้นดี ราคาถูก’ ผ่านกระบวนการวิเคราะห์งบการเงินของทุกบริษัทกว่า 3,400 แห่ง ในตลาดหุ้นโตเกียว จากนั้นนำมาจัดอันดับความน่าลงทุนเพื่อจัดพอร์ตลงทุนต่อไป ซึ่งยึดหลักการจัดพอร์ตแบบหุ้นเน้นคุณค่า (Value Investing หรือ VI)สไตล์ Warren Buffett พร้อมกับจะมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติ ทำให้มีแต่หุ้นที่สดใหม่ มีการเติบโตสูง ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างกำไรอยู่เสมอ

ด้านผลตอบแทนของ Jitta Ranking ญี่ปุ่น จากการทดสอบ Back Test ในช่วง 10 ปีย้อนหลัง (1 ม.ค. 2555-31 ธ.ค. 2564) สามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาดในระยะยาว โดยผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้น (CARG) อยู่ที่ 25.93%ต่อปีเมื่อเทียบกับดัชนีฯ (TOPIX) 13.01% ต่อปี

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่านักลงทุนจะเลือกลงทุนแบบไหนใน 3 ทางเลือกการลงทุนข้างต้น  อย่างน้อยคือ “ได้เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตแล้ว”ท่ามกลางช่วงที่โลกโดนเงินเฟ้อเล่นงาน และกดดันตลาดผันผวน การกระจายความเสี่ยงการลงทุนจะช่วยเยียวยาพอร์ตลงทุนได้ในระยะยา