CCUS & Hydrogen จิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายสู่โลกคาร์บอนต่ำ

แม้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์และลมจะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีบทบาทสำคัญในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่เส้นทางสู่ Net Zero ยังมีช่องว่างที่เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่อาจเติมเต็มได้
โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ และปิโตรเคมี ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอนได้ทั้งหมด
นี่คือ เหตุผลที่เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage:CCUS) และไฮโดรเจนถูกจับตามองในฐานะ “Last-mile option” และกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะอาจเป็น “ชิ้นส่วนสุดท้าย” ของจิ๊กซอว์ ที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำเกิดขึ้นได้จริง แต่ทว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านต้นทุน นโยบายและกฎหมาย ที่ต้องเร่งพัฒนาไปพร้อมกัน
ทำความรู้จัก CCUS: เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน
CCUS คือ เทคโนโลยีที่ดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากปล่องโรงงานหรือแหล่งกำเนิด แล้วนำไปจัดเก็บในชั้นหินใต้ดินหรือใช้ประโยชน์ต่อ เช่น นำไปสังเคราะห์เป็นวัสดุ หรือนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมี ปัจจุบันทั่วโลกสามารถดักจับคาร์บอนได้ราว 400 ล้านตันต่อปี ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยทั้งหมด
สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในตัวอย่างของประเทศที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนา โดยเฉพาะ Gulf Coast Cluster ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ดักจับคาร์บอนได้กว่า 20 ล้านตันต่อปี และมีแผนเพิ่มถึง 140 ล้านตันต่อปี ความสำเร็จนี้เกิดจากการสนับสนุนของกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ที่ให้เครดิตภาษีสูงถึง 85 ดอลลาร์ต่อการดักจับคาร์บอน 1 ตัน ทำให้โครงการมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ในทางกลับกัน หากไม่มีแรงจูงใจทางการเงิน การลงทุนใน CCUS แทบจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะต้นทุนดักจับยังอยู่ระหว่าง 15-120 ดอลลาร์ต่อตัน ขึ้นอยู่กับแหล่งปล่อยคาร์บอน
สำหรับประเทศไทย การศึกษาของ Global CCS Institute ชี้ว่า อ่าวไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนรวมกว่า 8,400 ล้านตัน ซึ่งมากพอรองรับการปล่อยในระยะยาว แต่การพัฒนา CCUS ในไทยจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่เร่งดำเนินการใน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.เป้าหมายระดับชาติ ต้องวางเป้าหมาย CCUS ที่เฉพาะเจาะจง และสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ
2.หน่วยงานกลางและกรอบกฎหมายครบวงจร จัดตั้งหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบโดยตรง พร้อมกำหนดกฎหมายและกฎระเบียบที่ครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซคุณค่า (Value chain) 3.แรงจูงใจทางการเงิน: จัดทำมาตรการสนับสนุน และสิทธิประโยชน์ทางการเงินเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน
และ 4.ต้นทุนและราคาคาร์บอน: กำหนดราคาคาร์บอน (Carbon pricing) ให้มีราคาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดแรงจูงใจทางตลาด และเพิ่มความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจจากการลงทุน
ไฮโดรเจน: เทคโนโลยีสะอาดแห่งอนาคต
ในอีกด้านหนึ่ง ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ถูกยกให้มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เพราะเมื่อเผาไหม้หรือใช้ในเซลล์เชื้อเพลิงจะไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เลย อีกทั้งยังสามารถเก็บพลังงานไว้ได้นานหลายสัปดาห์ เหมาะกับการเสริมเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าที่พึ่งพาพลังงานหมุนเวียนซึ่งมักมีความผันผวนสูง
ประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งเร่งลงทุนในเทคโนโลยีนี้ เช่น เยอรมนี เร่งสร้างเครือข่ายท่อส่งไฮโดรเจน ความยาวกว่า 1,200 กิโลเมตรภายในปี 2030 เพื่อเชื่อมโยงอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ญี่ปุ่น มียุทธศาสตร์ไฮโดรเจนตั้งแต่ปี 2017 และมีกฎหมายใหม่อย่าง GX Promotion Act (2023)
และ Hydrogen Society Promotion Act (2024) เพื่อสนับสนุนการนำมาใช้จริง ออสเตรเลีย ตั้งเป้าจะเป็นผู้ส่งออกไฮโดรเจนรายใหญ่ โดยเริ่มจากไฮโดรเจนจากถ่านหินร่วมกับ CCUS แล้วค่อยขยายไปสู่ไฮโดรเจนสีเขียวในปี 2030
สำหรับประเทศไทยก็เริ่มขยับเช่นกัน โดยมีแผนทดลองใช้ไฮโดรเจนสีเขียวในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับก๊าซธรรมชาติ แต่แนวทางนี้อาจจะไม่คุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากต้องใช้ไฟฟ้าสะอาดผลิตไฮโดรเจน แล้วนำกลับมาแปลงเป็นไฟฟ้าอีกครั้ง ซึ่งทำให้สูญเสียพลังงานในหลายขั้นตอน
ในทางกลับกัน การใช้ไฮโดรเจนใน “ภาคขนส่งหนัก” เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร หรือเรือสินค้า จะเหมาะสมและคุ้มค่ากว่า เพราะต้องการพลังงานสูงและต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีโครงการนำร่องในภาคขนส่งหนักหลายโครงการ เช่น ปตท. ที่ตั้งเป้าผลิตไฮโดรเจนสีเขียว และสร้างสถานีเติมเชื้อเพลิงสำหรับรถบรรทุกพลังงานไฮโดรเจน (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) 30-50 คัน รวมถึงโครงการความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในการทดสอบรถบรรทุก FCEV 20 คัน ที่วิ่งได้กว่า 600 กิโลเมตรต่อวัน
ถึงแม้จะมีความคืบหน้า แต่ไฮโดรเจนในไทยยังเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ 2 ด้านใหญ่ คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงมาก ปัจจุบันอยู่ที่ 280-340 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น ควรลดต้นทุนลงให้เหลือราว 200 บาทต่อกิโลกรัมจึงจะแข่งขันกับดีเซลได้ และความต้องการใช้ในประเทศยังต่ำ เพราะขาดโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรองรับที่ชัดเจน
โครงการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยเริ่มขยับเข้าสู่ยุคไฮโดรเจนแล้ว แม้จะยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หากไม่เร่งดำเนินการ ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดบทบาทเป็นเพียงผู้ใช้ไฮโดรเจนจากต่างประเทศ มากกว่าจะเป็นผู้พัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ
ดังนั้น การผลักดันไฮโดรเจนให้เกิดการใช้งานจริงจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าใน 4 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ภาคขนส่งหนัก เน้นการใช้ไฮโดรเจนสีเขียวในภาคขนส่งหนัก 2.กรอบกฎระเบียบและนโยบาย จัดทำมาตรฐานและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย รวมถึงปลดล็อกให้ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างเป็นทางการ
3.ต้นทุนการผลิต สนับสนุนให้ราคาไฮโดรเจนสีเขียวสามารถแข่งขันกับเชื้อเพลิงดีเซลได้ และ 4.โครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มจำนวนสถานีเติมไฮโดรเจนในพื้นที่ที่มีศักยภาพ พร้อมจัดทำมาตรการส่งเสริมสิทธิประโยชน์การลงทุน และสนับสนุนงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนา (R&D)
ทั้ง CCUS และไฮโดรเจนเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง แต่จะไม่เกิดขึ้นจริงหากไทยยังขาดเป้าหมายระยะยาว นโยบายและกฎหมายที่ชัดเจน รวมถึงกลไกสนับสนุนทางการเงินที่เหมาะสม การลงทุนในวันนี้จึงไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับบทบาทของไทย และการมีส่วนร่วมบนเวทีเทคโนโลยีในอนาคต
บทความชิ้นนี้จัดทำภายใต้โครงการหลักสูตรผู้นํานโยบายด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ.2567







