เทียบข้อบังคับ CBAM ฉบับล่าสุด-เดิม เน้นลดซับซ้อน แต่ยังคุมเข้มคาร์บอน 99%

สหภาพยุโรปออกข้อบังคับ CBAM ฉบับใหม่ (EU) 2025/2083 เพื่อลดความซับซ้อนและภาระของผู้นำเข้า โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แต่ยังคงควบคุมการปล่อยคาร์บอนในสินค้านำเข้าได้ไม่ต่ำกว่า 99%
KEY
POINTS
- สหภาพยุโรปออกข้อบังคับ CBAM ฉบับใหม่ (EU) 2025/2083 เพื่อลดความซับซ้อนและภาระของผู้นำเข้า โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) แต่ยังคงควบคุมการปล่อยคาร์บอนในสินค้านำเข้าได้ไม่ต่ำกว่า 99%
- เปลี่ยนแปลงเกณฑ์การยกเว้น (De Minimis) จากเดิมที่อิงตามมูลค่าสินค้า มาเป็นเกณฑ์น้ำหนักรวมไม่เกิน 50 ตันต่อปีสำหรับสินค้าในกลุ่มเหล็ก อะลูมิเนียม ปุ๋ย และซีเมนต์ เพื่อลดภาระให้ผู้นำเข้ารายย่อย
- ขยายกำหนดเวลายื่นคำประกาศ CBAM รายปี และการส่งมอบใบรับรองเพื่อชดเชยคาร์บอน จากเดิมวันที่ 31 พ.ค. เป็นวันที่ 30 ก.ย. ของปีถัดไป เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
- ปรับปรุงวิธีการคำนวณค่าคาร์บอนปริยาย (Default Value) ให้เป็นธรรมขึ้น และเพิ่มความยืดหยุ่นในการหักลดราคาคาร์บอนที่จ่ายไปแล้วในประเทศที่สาม
สหภาพยุโรปได้ดำเนินการปรับปรุงกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) โดยออกข้อบังคับใหม่ (EU) 2025/2083 หรือที่เรียกว่า "CBAM Simplification Regulation" ซึ่งเป็นการแก้ไขข้อบังคับเดิม (EU) 2023/956 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2025 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การลดความซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) และลดผลกระทบต่อผู้นำเข้าและส่งออกรายย่อย เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานของกลไกดังกล่าวจะเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อพ้นระยะเวลาเปลี่ยนผ่านในวันที่ 1 มกราคม 2026
มาตรการใหม่จะช่วยลดภาระให้กับผู้นำเข้าราว 182,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และบุคคลทั่วไป ขณะเดียวกันยังคงรักษาเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศไว้ โดยอย่างน้อย 99% ของการปล่อยคาร์บอนที่ซ่อนอยู่ในสินค้า (embedded emissions) ถูกนำมาคำนวณและควบคุมภายใต้ CBAM
"กรุงเทพธุรกิจ" เปรียบเทียบระหว่างข้อบังคับเดิม (EU) 2023/956 และเนื้อหาที่ได้รับการแก้ไขและเพิ่มเติมใหม่ (EU) 2025/2083 โดยพบรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
การยกเว้นแบบเดมินิมิส
จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่นำมาโดยข้อบังคับ (EU) 2025/2083 คือการใช้การยกเว้นแบบเดมินิมิส (De Minimis Exemption) ขณะที่ระเบียบเดิม (EU) 2023/956 ได้กำหนดให้มีการยกเว้นภาระผูกพัน CBAM เฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าเล็กน้อย โดยกำหนดให้มูลค่าแท้จริง (intrinsic value) ไม่เกิน 150 ยูโรต่อการขนส่ง
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในช่วงเปลี่ยนผ่านชี้ว่าการยกเว้นตามมูลค่านี้ไม่เพียงพอต่อการรับรองว่า CBAM จะถูกใช้กับผู้นำเข้าตามสัดส่วนของผลกระทบต่อการปล่อยคาร์บอนที่ฝังตัว ดังนั้น ระเบียบ (EU) 2025/2083 จึงได้นำเสนอการยกเว้นใหม่คือ เกณฑ์น้ำหนักรวมเดียว (single mass-based threshold) โดยกำหนดเกณฑ์เริ่มต้นไว้ที่ 50 ตันของน้ำหนักสุทธิรวม
เกณฑ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดภาระด้านการบริหารสำหรับผู้นำเข้ารายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างสัดส่วนการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ฝังตัวในสินค้านำเข้าในปริมาณน้อยมาก
เกณฑ์ 50 ตันนี้ใช้สะสมรวมกันสำหรับสินค้าทั้งหมดในกลุ่มภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และซีเมนต์ หากผู้นำเข้าใด ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นผู้ประกาศ CBAM ที่ได้รับอนุญาตแล้วหรือไม่ก็ตาม นำเข้าสินค้ารวมกันไม่เกิน 50 ตันในหนึ่งปีปฏิทิน ก็จะได้รับการยกเว้นจากภาระผูกพันทั้งหมดภายใต้ CBAM
อย่างไรก็ตาม หากมีการนำเข้าเกินเกณฑ์ 50 ตันเมื่อใด ผู้นำเข้ารายนั้นจะต้องปฏิบัติตามภาระผูกพันทั้งหมดสำหรับการปล่อยคาร์บอนที่ฝังตัวในสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าในปีนั้น การแก้ไขนี้ยืนยันว่า CBAM ยังคงครอบคลุมการปล่อยคาร์บอนที่ฝังตัวในสินค้าที่นำเข้าไว้ได้ไม่ต่ำกว่า 99%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ในส่วนของขอบเขตสินค้า ระเบียใหม่ได้ปรับปรุงรายการสินค้าซีเมนต์ใน Annex I โดยทำการยกเว้น ดินเหนียวเคโอลินิกที่ไม่ได้เผาออกไป เนื่องจากสินค้าดังกล่าวไม่มีความเข้มข้นของคาร์บอนสูงเท่ากับเคโอลินิกที่เผาแล้ว นอกจากนี้ การนำเข้าไฟฟ้าและไฮโดรเจนถูกระบุอย่างชัดเจนว่า ไม่รวม อยู่ภายใต้การยกเว้น 50 ตันนี้ เนื่องจากมีลักษณะการค้าและระดับความเข้มข้นของการปล่อยที่แตกต่างกันอย่างมาก
ปรับเปลี่ยนกำหนดเวลา
เพื่อมอบความยืดหยุ่นและเวลาที่มากขึ้นแก่ Authorised CBAM Declarants (ผู้ยื่นรายงาน CBAM ที่ได้รับอนุญาต) ในการรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลที่ซับซ้อน ระเบียบ (EU) 2025/2083 ได้ปรับเปลี่ยนกำหนดเวลาสำคัญหลายประการ ดังนี้
- การยื่นคำประกาศ CBAM รายปี: ระเบียบเดิมกำหนดให้ยื่น 31 พ.ค. ของปีถัดไป ระเบียบที่แก้ไขใหม่เลื่อนกำหนดเวลาออกไปเป็นวันที่ 30 ก.ย. ของปีถัดไป (โดยครั้งแรกคือวันที่ 30 ก.ย. 2027 สำหรับการนำเข้าในปี 2026) ดังนั้น การส่งมอบใบรับรอง CBAM (Surrender of Certificates) กำหนดเวลาในการส่งมอบใบรับรองเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่ฝังตัวในสินค้าที่นำเข้า ก็ถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 30 ก.ย. ของปีถัดไปเช่นกัน
- การยกเลิกใบรับรองส่วนเกิน: วันที่จะมีการยกเลิกใบรับรองที่ซื้อไว้แต่ไม่ได้ใช้งานและหมดอายุ ถูกเลื่อนจากวันที่ 1 ก.ค. ไปเป็นวันที่ 1 พ.ย. ของทุกปี
- ใบรับรองรายไตรมาส: ภายใต้ (EU) 2023/956 ผู้ประกาศ CBAM ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีใบรับรองในบัญชีอย่างน้อย 80% ของปริมาณการปล่อยที่ฝังตัวที่คำนวณจากค่าปริยาย โดยระเบียบใหม่ได้ลดสัดส่วนขั้นต่ำนี้ลงเหลือเพียง 50% และอนุญาตให้ผู้ประกาศ CBAM สามารถอ้างอิงปริมาณที่ต้องสำรองจาก 2 ตัวเลือกนี้ คือ 1. ค่าปริยายที่คำนวณตาม Annex IV โดยไม่มีส่วนเพิ่ม (mark-up) หรือ 2. จำนวนใบรับรองที่ส่งมอบในปีปฏิทินก่อนหน้าสำหรับสินค้าและประเทศต้นทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นของการบังคับใช้เต็มรูปแบบ (ปี 2026) ผู้ที่ยื่นคำขอสถานะผู้ประกาศ CBAM ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2026 สามารถนำเข้าสินค้าเกินเกณฑ์ 50 ตันต่อไปได้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการตัดสินใจอนุญาตสถานะ
คำนวณคาร์บอน
ระเบียบที่แก้ไขใหม่ได้ปรับปรุงความชัดเจนและยืดหยุ่นในวิธีการคำนวณและการตรวจสอบการปล่อยคาร์บอน ตลอดจนการหักลดราคาคาร์บอนที่จ่ายในประเทศที่สาม ดังนี้
- การตรวจสอบการปล่อยคาร์บอน: ระเบียบใหม่กำหนดอย่างชัดเจนว่า การตรวจสอบการปล่อยคาร์บอนโดยผู้ตรวจสอบที่ได้รับการรับรอง (accredited verifiers) จะใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่การปล่อยที่ฝังตัวถูกกำหนดโดยอ้างอิงจากค่าการปล่อยจริง (actual emissions) เท่านั้น
- การคำนวณค่าปริยาย: หากไม่สามารถกำหนดค่าการปล่อยจริงได้อย่างเหมาะสม หรือไม่มีข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับประเทศผู้ส่งออกภายใต้ระเบียบเดิม กำหนดให้ใช้ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของการปล่อยของโรงงาน EU ETS ที่มีประสิทธิภาพแย่ที่สุด แต่ระเบียบใหม่ได้เปลี่ยนมาใช้เกณฑ์ที่ชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น ค่าปริยายจะอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของการปล่อยของ 10 ประเทศผู้ส่งออกที่มีความเข้มข้นของการปล่อยสูงสุดสำหรับสินค้านั้นๆ ซึ่งมีข้อมูลที่เชื่อถือได้ วิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการรั่วไหลของคาร์บอน
หักลดราคา
การหักลดราคาคาร์บอนที่จ่ายในประเทศที่สาม (EU) 2023/956 กำหนดให้ผู้นำเข้าสามารถอ้างสิทธิ์การหักลดราคาคาร์บอนที่จ่ายไปได้ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ว่าราคาคาร์บอนนั้นถูกจ่ายไปแล้วจริงในประเทศต้นทาง และต้องได้รับการรับรองเอกสารโดยบุคคลอิสระ
แต่ (EU) 2025/2083 ได้เพิ่มความยืดหยุ่น โดยผู้ยื่นรายงาน CBAM ที่ได้รับอนุญาต สามารถอ้างสิทธิ์การหักลดราคาคาร์บอนโดยอ้างอิงจากราคาคาร์บอนค่าปริยายรายปี ที่คณะกรรมาธิการกำหนดและเผยแพร่ในทะเบียน CBAM ได้
โดยการหักลดโดยอ้างอิงจากราคาปริยายนี้เป็นทางเลือกเดียวในการหักลดเมื่อมีการคำนวณการปล่อยคาร์บอนด้วยค่าปริยาย นอกจากนี้ ผู้นำเข้ายังสามารถเรียกร้องการหักลดสำหรับราคาคาร์บอนที่จ่ายในประเทศที่สามใดๆ ไม่ใช่แค่ประเทศต้นทาง
ผู้แทนศุลกากรและการบังคับใช้
ระเบียบที่แก้ไขใหม่ได้ให้ความชัดเจนและเสริมอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้นำเข้าและผู้แทน โดยผู้กำหนดให้ผู้แทนศุลกากรทางอ้อมจะต้องได้รับสถานะผู้ประกาศ CBAM ที่ได้รับอนุญาตก่อนที่จะนำเข้าสินค้าภายใต้ขอบเขต CBAM หากผู้แทนศุลกากรทางอ้อมตกลงที่จะดำเนินการในนามของผู้นำเข้า จะต้องรับผิดชอบต่อภาระผูกพันทั้งหมดของผู้นำเข้า รวมถึงการรับโทษปรับในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ การลงทะเบียนของผู้ประกอบการในประเทศที่สาม (ตามมาตรา 10 ของ 2023/956) จะต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตนเอง ได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขทะเบียนองค์กรหรือกิจกรรม และข้อมูลของหน่วยงานควบคุมหรือบริษัทแม่ หากมีข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงความน่าเชื่อถือของข้อมูลการปล่อยคาร์บอนในทะเบียน CBAM
บทลงโทษหากฝ่าฝืน De Minimis
(EU) 2025/2083 ได้เพิ่มบทลงโทษใหม่สำหรับผู้นำเข้าที่ไม่ได้เป็นผู้ประกาศ CBAM ที่ได้รับอนุญาตแต่ได้นำเข้าสินค้าจนเกินเกณฑ์น้ำหนักรวม 50 ตัน หากมีการจ่ายค่าปรับนี้ จะถือว่าเป็นการปลดเปลื้องผู้นำเข้าจากภาระผูกพันในการยื่นคำประกาศ CBAM และการส่งมอบใบรับรองสำหรับสินค้านำเข้าเหล่านั้น
มีการเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีอำนาจสามารถลดจำนวนค่าปรับได้ หากผู้นำเข้าฝ่าฝืนเกณฑ์ 50 ตันไปไม่เกิน 10% หรือหากผู้ประกาศ CBAM ล้มเหลวในการส่งมอบใบรับรองเนื่องจากข้อมูลที่ไม่ถูกต้องที่ได้รับจากบุคคลที่สาม เช่น ผู้ประกอบการหรือผู้ตรวจสอบ
ทั้งนี้ (EU) 2025/2083 ได้ป้องกันผู้นำเข้าหัวหมอ หาช่องหลีกเลี่ยงกฎ โดยได้ขยายคำจำกัดความของการหลีกเลี่ยงกฎให้รวมถึงการแบ่งการนำเข้าสินค้าออกเป็นหลายส่วน หรือการจัดเตรียมที่ไม่เป็นไปตามจริง เพื่อวัตถุประสงค์หลักในการหลีกเลี่ยงการเกินเกณฑ์ น้ำหนักรวมเดียว 50 ตัน
อ้างอิง: (EU) 2025/2083, (EU) 2023/956







