สองพี่น้องขาย 'อาหารหมดอายุ' ธุรกิจเพื่อโลก ลดรายจ่ายผู้ซื้อ ลดขยะผู้ผลิต

สองพี่น้องขาย 'อาหารหมดอายุ' ธุรกิจเพื่อโลก ลดรายจ่ายผู้ซื้อ ลดขยะผู้ผลิต

เคธี่และแม็กกี้ ควัช สองพี่น้องในออสเตรเลียก่อตั้งธุรกิจ "Beyond Best Before" โดยรับซื้อสินค้าที่ใกล้หรือเลยวัน "ควรบริโภคก่อน" (Best Before) มาจำหน่ายต่อเพื่อแก้ปัญหาขยะอาหาร

KEY

POINTS

  • Katie and Maggie Quach สองพี่น้องในออสเตรเลียก่อตั้งธุรกิจ "Beyond Best Before" โดยรับซื้อสินค้าที่ใกล้หรือเลยวันควรบริโภคก่อน (Best Before) มาจำหน่ายต่อเพื่อแก้ปัญหาขยะอาหาร
  • ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง 40-90% ซึ่งช่วยลดภาระค่าครองชีพ ขณะที่ผู้ผลิตสามารถลดปริมาณขยะและกู้คืนมูลค่าจากสินค้าได้
  • โมเดลธุรกิจนี้สร้างประโยชน์แบบ win-win โดยช่วยลดปัญหาขยะอาหารซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก และช่วยให้ผู้คนเข้าถึงอาหารในราคาที่ย่อมเยา

ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นโจทย์สำคัญของโลก “เคธี่ และ แม็กกี้ ควัช” (Katie and Maggie Quach) สองพี่น้องผู้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อสังคม "Beyond Best Before" ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงแนวคิดและการลงมือทำจริง ด้านลดขยะอาหารและสร้างคุณค่าใหม่ ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

Beyond Best Before ก่อตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอาหารเหลือทิ้ง โดยการซื้อผลิตภัณฑ์ที่บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ไม่ขายอีกต่อไป เพราะใกล้วันหมดอายุหรือเลยวันหมดอายุ ที่ระบุแบบ Best Before มาจำหน่ายต่อให้กับผู้บริโภคในราคาลด 40-90% ของราคาขายปลีกที่แนะนำ (Recommended Retail Price: RRP)

แรงบันดาลใจสู่ภารกิจเพื่อโลก

“เคธี่” เล่าว่า ก่อนจะมาก่อตั้งธุรกิจเพื่อสังคม เธอมีพื้นฐานด้านการเงิน ขณะที่แม็กกี้ (พี่สาว) มีพื้นฐานด้านไอที ทั้งคู่ต่างเคยอยู่ในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) และได้เห็นอีกด้านหนึ่ง ของระบบ ก็คือปริมาณมหาศาลของอาหารที่ต้องถูกทิ้ง แม้จะยังบริโภคได้อย่างปลอดภัยก็ตาม

ในออสเตรเลีย มีอาหารกว่า 7.6 ล้านตันต่อปี ที่ต้องกลายเป็นขยะ สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากด้วย แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ยังสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย เช่น นม น้ำผลไม้ หรือโยเกิร์ต ถูกนำไปทิ้งสู่หลุมฝังกลบ

“ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตอาหาร 7.6 ล้านตันที่ถูกทิ้งไปนั้น มีปริมาณมากพอที่จะเติมเต็มท่าเรือซิดนีย์ (Sydney Harbour) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ได้ถึงห้าครั้ง”

ในฐานะผู้ได้รับเลือกเป็น Forbes Under 30 Asia 2025 “เคธี่” จึงตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สร้างเครือข่ายกับนักสร้างสรรค์จากทั่วโลก เพื่อเรียนรู้แนวทางใหม่ๆ ในการต่อสู้กับปัญหาขยะอาหาร ซึ่งเป็นโจทย์ร่วมของทุกประเทศ

Win-Win ราคาถูก-ช่วยโลก

การเริ่มต้น Beyond Best Before เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันที่สำคัญ 2 ด้าน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิกฤติค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในออสเตรเลีย ธุรกิจนี้จึงสร้างสถานการณ์ที่ "win-win" โดยลูกค้าไม่เพียงได้รับส่วนลดสำหรับการซื้อของชำ แต่ยังได้ชอปปิงเพื่อสิ่งแวดล้อม และเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังด้วย ขณะเดียวกัน ซัพพลายเออร์ก็สามารถกู้คืนมูลค่าจากสินค้าที่อาจสูญหายไปโดยเปล่าประโยชน์ได้อีกครั้ง

"การบริโภคอาหารที่เลยวันหมดอายุ (Best Before) ที่กำหนดไว้บนแพคเกจไม่ได้หมายความว่าเป็นอันตราย หากเก็บรักษาอย่างเหมาะสม โดย Best Before เป็นเพียงการระบุช่วงเวลาที่อาหารคงคุณภาพสูงสุด แตกต่างจาก Use By ซึ่งเป็นวันหมดอายุที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการบริโภคโดยตรง"

สำหรับ Best Before ผู้บริโภคจึงสามารถใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐานอย่าง ‘ดู–ดม–ชิม’ เพื่อประเมินความปลอดภัยของอาหารได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุขของออสเตรเลียก็ยืนยันว่า อาหารที่ผ่านวัน Best Before ไปแล้ว ยังสามารถบริโภคได้ หากยังอยู่ในสภาพดีและเก็บรักษาอย่างถูกวิธี”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : อาหารหมดอายุยังกินได้ไหม กินก่อนเที่ยงคืนจะปลอดภัยหรือเปล่า?

จากร้านเล็กๆ สู่แพลตฟอร์มจัดส่งทั่วประเทศ

“เคธี่” เล่าต่อว่า ในช่วงเริ่มต้น Beyond Best Before เปิดแบบมีหน้าร้าน เริ่มจากร้านเล็กๆ ในย่านนิวทาวน์ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายบริษัท FMCG ในซิดนีย์ ที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม เพียงสามเดือนหลังเปิดทำการ ก็ได้รับข้อความทางโซเชียลมีเดียขอให้ขยายการจัดส่งสินค้าไปยังรัฐอื่น ๆ หรือจัดส่งทั่วประเทศ

“แม็กกี้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี จึงพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขึ้นเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว ปัจจุบัน เรากลายเป็นสตาร์ทอัพรายเดียวในออสเตรเลียที่จัดส่งสินค้าส่วนเกินได้ทั่วประเทศ แม้ว่าออสเตรเลียจะเป็นทวีปขนาดใหญ่และมีค่าขนส่งที่สูงมากก็ตาม แต่เราจับมือกับ Sendle ผู้ให้บริการขนส่งที่บริการแบบเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเชื่อมโยงกับ Shopify เพื่อเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ห่างไกล”

สินค้าที่ได้รับความนิยมสูงมักเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปและไม่ได้มีจำหน่ายในเครือข่ายหลัก ตัวอย่างเช่น ชีสยุโรปที่นำเข้าจากเดนมาร์กและสหราชอาณาจักร หรือเกลือเห็ดทรัฟเฟิล ผงทรัฟเฟิล หรือมันฝรั่งทอดรสทรัฟเฟิลจากสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ ลูกค้าในนิวทาวน์ยังมีแนวโน้มใส่ใจสุขภาพ ทำให้ผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้ากลุ่มวีแกน หรือคีโต ซึ่งมักมีราคาสูง เป็นที่ต้องการอย่างมาก รวมถึงโปรตีนบาร์เพื่อสุขภาพที่มียอดขายดีเช่นกัน

เพียง 2 ปีครึ่งหลังเริ่มต้น Beyond Best Before สามารถกู้ชีพอาหาร ได้แล้วกว่าครึ่งล้านรายการ ลดการปล่อยคาร์บอนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับมหาศาล

ความท้าทายของสตาร์ทอัพ

ด้าน “แม็กกี้” กล่าวว่า ในฐานะธุรกิจ startup ที่ใช้ทุนส่วนตัว ก็ต้องยอมรับว่าความท้าทายช่วงแรกคือการบริหารสมดุลระหว่าง “เงินซื้อสินค้า” กับ “งบการตลาด” เพราะสินค้าแต่ละล็อตขึ้นอยู่กับความพร้อมของซัพพลายเออร์

“บางสัปดาห์เรามีสินค้าทั้งโกดัง แต่บางสัปดาห์อาจไม่มีของเลย เราต้องใช้กลยุทธ์ทางการเงินแบบเข้มข้นมาก อีกบทเรียนสำคัญคือการ ‘กล้าปฏิเสธ’ เนื่องจากในฐานะองค์กรเพื่อสังคม มีผู้คนมากมายติดต่อมาขอสัมภาษณ์หรือร่วมโครงการ จึงต้องใช้หลักการบริหารพอร์ตโฟลิโอมาช่วยโฟกัสเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับภารกิจหลัก นอกจากนั้นความท้าทายคือการให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างวัน Best Before และ Use By"

ก้าวต่อไป B2B และความร่วมมือระดับโลก

“แม็กกี้” กล่าวด้วยว่า Beyond Best Before เดินหน้าขยายสู่ 3 ช่องทางหลัก คือ ช่องทางค้าปลีก (หน้าร้าน) อีคอมเมิร์ซ และ B2B

“ปัจจุบันเรากำลังมุ่งเน้นการขยายสู่ตลาด B2B เพื่อเพิ่มปริมาณอาหารที่สามารถกู้คืนจากการถูกทิ้ง โดยกำลังเจรจากับผู้ซื้อระดับองค์กรรายใหญ่ เช่น Compass ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกที่ให้บริการจัดเลี้ยงแก่พนักงาน Google ธนาคารในออสเตรเลีย กระทรวงกลาโหม เรือนจำ และบริษัทเหมืองแร่

แม้การขายแบบ B2B จะมีมาร์จิ้นต่ำกว่าแต่มีปริมาณการขาย และการหมุนเวียน (Turnover) สูงมาก สินค้าสำหรับ B2B ยังแตกต่างออกไป โดยเน้นไปที่วัตถุดิบดิบ เช่น มะเขือเทศสำหรับทำซอสมะเขือเทศ แทนที่จะเป็นขนมขบเคี้ยวหรือเครื่องดื่มกระป๋อง

“เคธี่ และ แม็กกี้ ควัช” มองว่า ธุรกิจเพื่อสังคมในด้านความยั่งยืนนั้นเป็นกระแสที่ร้อนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาที่จบใหม่ ผู้คนรุ่นใหม่จำนวนมากขึ้นเลือกที่จะใช้ทักษะความสามารถของตนเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับมนุษยชาติและโลก แทนที่จะทำงานเพียงเพื่อสร้างผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นในรูปแบบองค์กรแบบดั้งเดิม พวกเขามองเห็นทางเลือกที่สามารถ "ทำเงินและทำสิ่งดีๆ เพื่อโลกไปพร้อมกันได้"